โครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบิน “ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา” ระยะทาง 220 กม. มูลค่าการลงทุน 2.2 แสนล้านบาท แลกสัมปทานระยะยาว 50 ปี กำลังคึกคัก อย่างแรง

คาดว่าจะมีกลุ่มทุนยักษ์ไม่ต่ำกว่า 5 กลุ่มมะรุมมะตุ้มแย่งทึ้งโครงการนี้กันสุดลิ่มทิ่มประตู

ต่างจาก “โครงการรถไฟความ เร็วสูงสายกรุงเทพฯ-หัวหิน” ที่ยังไม่มีกลุ่มทุนยักษ์รายใดชายตาแล

เนื่องจากมูลค่าลงทุนกับความคุ้มทุน...ไม่ชวนให้อยากลงทุน

คาดว่าโครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-หัวหิน คงคลอดไม่ทันอายุรัฐบาล คสช.อย่างที่ฉายหนังโฆษณา

“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าโครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ มูลค่า 4.2 แสนล้านบาท ก็ยัง ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก อีหรอบเดียวกัน

ทั้งๆที่รัฐบาล คสช.ต้องการเร่งผลักดันให้เป็นผลงานชิ้นโบแดง

รองนายกฯ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อุตส่าห์เทียวไล้เทียวขื่อไปชักชวนรัฐบาลญี่ปุ่นให้ร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงสายเหนือช่วงแรก “กรุงเทพฯ-พิษณุโลก” ระยะทาง 380 กม.มาแล้วหลายครั้งหลายครา

แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยังบิดตะกูด...ไม่ยอมโอเค

พูดง่ายๆ รัฐบาลญี่ปุ่น ไม่สนใจควักกระเป๋าร่วมลงทุน แต่สนใจจะขายรถไฟชินคันเซนอย่างเดียว

โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-พิษณุโลก จึงต้องเจอโรคเลื่อนด้วยประการฉะนี้แล

“แม่ลูกจันทร์” ชี้ว่าเหตุที่รัฐบาลญี่ปุ่นตีลูกซึม ไม่ยอมรับนิมนต์เข้าหุ้นลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงกับรัฐบาลไทย

เนื่องจากผลการศึกษาเบื้องต้นชี้ว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงสายนี้ ยังไม่คุ้มค่าการลงทุน

เพราะคาดว่าจะมีผู้โดยสารใช้บริการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-พิษณุโลกเพียง 1 หมื่นคน หรือ 2 หมื่นคนต่อวัน

...

ถ้ามีผู้โดยสารเฉลี่ยไม่ถึง 2 หมื่นคนต่อวัน ต้องขาดทุนอ่วมอรทัย

ต้องรอให้มีจำนวนผู้โดยสารไม่น้อยกว่า 3 หมื่นคนต่อวัน จึงจะพอกล้อมแกล้มไม่ขาดทุน

แต่ถ้าหวังให้คุ้มค่าการลงทุน จะต้องมีจำนวนผู้โดยสารเฉลี่ย 5 หมื่นคนต่อวัน

นี่แหละเหตุผล ที่รัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่ยอมโอเค

“แม่ลูกจันทร์” ย้ำว่าการลงทุน โครงการเมกะโปรเจกต์ขนาดใหญ่ต้องพิจารณาความคุ้มค่าการลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญ

ยิ่งถ้าต้องกู้เงินลงทุนด้วย...โอกาสเสี่ยงก็เพิ่มสูงขึ้นอีกเท่าตัว!!

ดังนั้น การที่โครงการรถไฟความ เร็วสูงสายกรุงเทพฯ-หัวหิน และสายกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ต้องค้างแช่เบ้าออกไปจึงถือเป็น “ข่าวดี”

ดีต่อรัฐบาล คสช.ที่ไม่ต้องขาดทุนจั๋งหนับบุเรงนอง

เพราะแค่โครงการรถไฟความเร็วสูงจีน กรุงเทพฯ-โคราช ระยะทาง 253 กม. ซึ่งรัฐบาลบิ๊กตู่ กู้เงินจีน 1.97 แสน ล้านบาท มาลงทุนเอง 100 เปอร์เซ็นต์

ผลการศึกษาเบื้องต้น (รัฐบาลทำเอง) ระบุว่าช่วงแรกจะมีผู้โดยสาร 5,300 คนต่อวัน คิดค่าโดยสารตลอดสาย 51.5 บาท ต่อเที่ยวต่อคน

จะมีรายได้จากค่าโดยสาร 1,036 ล้านบาทต่อปี

รายได้จิ๊บๆแค่ 1 พันล้านบาทต่อปี จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยังไม่พอ

ผลการศึกษา (รัฐบาลทำเอง) ยอมรับว่ารถไฟความเร็วสูงสายนี้จะขาดทุนริดสีดวงบานเป็นกลีบมะไฟไปอีก 30 ปี

โอย...แค่สายเดียวก็แย่แล้ว ขืนสร้างเพิ่มอีก 2 สายก็ตายชักน่ะซีโยม.

“แม่ลูกจันทร์”