‘องอาจ’ ติงหว่าน 5.5 พันล.

เพื่อไทยรุมถล่มรัฐบาลใช้งบไร้ประสิทธิภาพ “อนุสรณ์” ข้องใจ ครม.สัญจรนครสวรรค์-พิจิตร หว่านงบแฝงมัดจำ มัดใจอดีต ส.ส. ถามยังเดินสายดูดไม่พอหรือ “ชวลิต วิชยสุทธิ์” โวย 4 ปีถลุงไป 16 ลล. แต่คนยังจนลง พลังธรรมใหม่ห่วงหนี้พุ่ง 1.7 แสนต่อหัว คสช.ชงขอ ครม.ปูนบำเหน็จ 2 ขั้น 600 นายที่มาช่วยงาน “องอาจ” ติงหว่านเงิน 5.5 พันล้านไล่จับพวกซื้อเสียง “มาร์ค” จี้สำนักงบฯดูรายละเอียด “ชวน” ไม่มั่นใจจะได้เลือกตั้งตามคำ “บิ๊กตู่” โวเกมดูด ส.ส.ขนาดยุค “แม้ว” เฟื่องๆยังไม่สะท้าน ลั่นไม่หักหลังศิษย์รักชิงนายกฯ “เต้น” แซะ “เอนก” ระวังเป็นได้แค่ลูกไล่ “เทือก” “ตือ” กระทุ้งคิดแต่เอาเปรียบระวังกระแสตีกลับ เหน็บ “เทือก” โชว์สนิมสร้อยไร้สาระ “วิษณุ” บอกต้องคุยพรรคการเมือง 2 รอบ

สังคมยังคงจับตามองการใช้งบประมาณของภาครัฐ ล่าสุดกับการลงพื้นที่ ครม.สัญจร จังหวัดนครสวรรค์ และพิจิตร ที่จะมีอดีต ส.ส. และนักการเมืองในพื้นที่เข้าร่วมต้อนรับจำนวนมาก จะมีการหว่านงบประมาณลงพื้นที่ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง-กลางตอนบน อีกมากน้อยแค่ไหน

“วิษณุ” ย้ำมีทางออกรอแล้ว

เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการนัดหารือกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เพื่อพูดคุยหาทางออกเกี่ยวกับปัญหาการดำเนินการต่างๆของพรรคการเมือง ว่า ยังไม่ได้นัดหมาย ทราบว่าคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 53/2560 มีปัญหาจึงเตรียมทางออกไว้แล้ว ไม่สามารถเปิดเผยได้ และไม่รู้เป็นทางออกที่ดีที่สุดหรือไม่ ถึงได้จะหารือกับ กกต. กรธ. พร้อมเชิญกรรมาธิการ สนช. มาด้วย โดยไม่จำเป็นต้องรอร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ส่วนจะถึงขั้นงดการทำไพรมารีโหวตหรือไม่นั้น ไม่ทราบ เพราะทางออกเรื่องนี้มีอยู่ 4 ทาง 1.ไม่ต้องทำอะไรเลย 2.ให้ตีความ 3.แก้ไขกฎหมาย และ 4.ใช้มาตรา 44

...

คุยพรรคการเมืองสองรอบ

นายวิษณุกล่าวอีกว่า ส่วนการเชิญพรรค การเมืองมาพูดคุยนั้น ควรคุยกันอย่างน้อย 2 รอบ รอบแรกในเดือน มิ.ย. ให้มีโอกาสได้เจอกันก่อน เพราะทั้งรัฐบาล และพรรคการเมือง ต่างยังไม่รู้จะคุยกันในเรื่องใด จนเมื่อกฎหมายลูกอีก 2 ฉบับมีผลบังคับใช้ค่อยมาคุยกันใหม่ ถึงตอนนั้นสามารถกำหนดเรื่องต่างๆให้ชัดเจนขึ้นได้ บางคนอยากมาบ่นเรื่องไพรมารีโหวต การประชุมพรรค การปลดล็อก ก็ใช้เวทีนี้พูดกันได้ เมื่อถามว่า นายกฯระบุว่าจะปลดล็อกเป็นขั้นตอนไป ไม่ปลดล็อกทั้งหมดในครั้งเดียว นายวิษณุตอบว่า นายกฯพูดอย่างไรก็เอาอย่างนั้น ส่วนการหาเสียงเมื่อปลดล็อกก็ปล่อยฟรีหาเสียงได้ ตอนนี้ในคำสั่งไม่ได้ห้ามทำกิจกรรมเสียทีเดียว ใครต้องการทำขออนุญาตได้

“มาร์ค” ชูทุกพรรคแข่งขันเสรี

ที่อาคารรัฐประศาสนภักดี ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนแจ้งวัฒนะ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีรัฐบาล และ คสช. เตรียมเชิญพรรคการเมืองหารือ ว่า ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. จะมีการหารือกันหลังร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มีผลบังคับใช้ แต่ตอนนี้ขั้นตอนต่างๆยังไปไม่ถึงจุดนั้น คสช. และ กกต. น่าจะเห็นสภาพปัญหาก่อน จากนั้นค่อยออกคำสั่งเพื่อให้ทุกอย่างเดินไปได้อย่างราบรื่น เพราะมีหลายเรื่องในบทบัญญัติกฎหมายใหม่ที่ กกต.และพรรคการเมืองต้องเตรียมตัวปรับตัว ส่วนจะมีถ่ายทอดสดหรือไม่ ที่ผ่านมาบรรยากาศการหารือมีพรรคการเมืองมาร่วมค่อนข้างมาก ไม่มีอะไรปิดบังอยู่แล้ว ทำอย่างไรให้การเลือกตั้งมีความสุจริตเที่ยงธรรม เสมอภาคกัน แข่งขันแบบเสรี กกต.คงต้องการความชัดเจนว่าสามารถทำงานได้ตามหน้าที่

ซัด สนช.ตัวถ่วงร่าง พ.ร.บ.ส.ส.

ผู้สื่อข่าวถามว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษมาดำเนินการหรือไม่ เนื่องจาก กกต.มีแนวคิดจะขอให้ คสช.ใช้อำนาจตามมาตรา 44 นายอภิสิทธิ์ตอบว่า ได้ท้วงติง สนช.มาตั้งแต่ต้นว่า การทำให้ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยเลือกตั้ง ส.ส.บังคับใช้ล่าช้า ทำให้เกิดผลเสีย ไม่สามารถเดินหน้าแบ่งเขตเลือกตั้งได้ ก็ต้องไปแก้ตรงนั้นทำอย่างไรให้การแบ่งเขตเลือกตั้งเดินได้เร็วขึ้น ไม่เช่นนั้นการจัดตั้งสาขาพรรค หรือการเตรียมทำไพรมารีโหวตก็เดินหน้าไม่ได้

จี้สำนักงบฯดูเม็ดเงินจัดเลือกตั้ง

เมื่อถามว่ามีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ย้ายไปอยู่กับพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) มากแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ตอบว่า เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติ ผู้ที่ออกไปล่าสุดคือนายธวัชชัย อนามพงษ์ อดีต ส.ส.จันทบุรี แต่เรามีผู้ที่แสดงความประสงค์จะลงสมัครแทนเตรียมพร้อมได้แล้ว ไม่มีอะไรน่าหนักใจ เมื่อถามว่า กกต.เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณ 5,500 - 5,800 ล้านบาท เพื่อใช้จัดการเลือกตั้ง ส.ส. และการเลือก ส.ว. นายอภิสิทธิ์ตอบว่า สำนักงบประมาณควรไปดูฐานรายละเอียดทั้งหมด ว่าฐานการคำนวณตัวเลขเป็นอย่างไร

ติงหว่านเงินไล่จับพวกซื้อเสียง

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี กกต.เสนอของบประมาณจัดการเลือกตั้ง ส.ส.ประมาณ 5,500-5,800 ล้านบาท ว่า การใช้เงินจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นเพื่อไปไล่จับพวกซื้อเสียงทุจริตเลือกตั้ง แม้เป็นเรื่องที่ต้องทำจริงจัง แต่เป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ฝาก กกต.แก้ปัญหาที่ต้นเหตุควบคู่ไปด้วย กกต.ไม่ควรใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นไปไล่จับคนซื้อเสียงทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเท่านั้น แต่ควรทำงานเชิงรุก หาทางป้องกันการซื้อเสียงทุจริตเลือกตั้ง พร้อมกับรณรงค์สร้างจิตสำนึกให้ประชาชนเห็นพิษภัยของการซื้อเสียงทุจริตเลือกตั้ง จะช่วยทำให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรมมากยิ่งขึ้น

เลิกอ้างป่วนเดินหน้าโรดแม็ป

นายองอาจกล่าวว่า ส่วนที่นายกฯกังวลว่าเมื่อเข้าสู่การเลือกตั้งแล้ว อาจมีความไม่สงบเรียบร้อยเกิดขึ้นนั้น เชื่อว่านายกฯเอาอยู่ เมื่อเข้าสู่การเลือกตั้งทุกพรรคต่างมีภาระรณรงค์หาเสียงมากกว่าจะมาสร้างความไม่สงบเรียบร้อย และกฎหมายพรรคการเมืองมีข้อห้ามมากมาย ใครฝ่าฝืนมีโทษสูงถึงขั้นติดคุก ถูกยุบพรรคได้ แต่ถ้ามีใครสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้น รัฐบาลมีอำนาจ มีเครื่องมือมากมายที่จะช่วยระงับยับยั้งได้ ขณะนี้ประชาชนคนไทยส่วนมากต่างอยากเห็นการเลือกตั้ง อยากเห็นการเมืองเดินไป ข้างหน้ามากกว่า นายกฯจึงไม่ควรวิตกกังวลว่าจะนำไปสู่ความไม่สงบเรียบร้อย แต่ควรสร้างความเชื่อมั่นให้คนไทย และนานาชาติมั่นใจว่ารัฐบาลมีความสามารถเพียงพอที่จะรักษาความสงบเรียบร้อย เพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้

“ชวน” ไม่มั่นใจจะได้เลือกตั้ง

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย เสนอให้ทุกพรรคก้าวข้ามและลืมความบาดหมางที่มีต่อกันว่า บ้านเมืองอยู่ได้ด้วยหลักและกฎหมาย เรื่องความบาดหมางหรือไม่บาดหมางไม่ใช่สาระ สาระจริงๆอยู่ที่เรายึดกฎหมายเป็นหลัก อะไรถูกก็ว่าถูก อะไรผิดก็ว่าไปตามผิด จึงจะทำให้ส่วนรวมอยู่ได้ อย่าไปเอาความรู้สึกส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่งมา เมื่อถามว่า การที่ประชาชนยังมีความคิด ทางการเมืองสุดโต่ง จะทำให้การเลือกตั้งดุเดือดขึ้นหรือไม่ นายชวนตอบว่า ยังไม่ทราบว่าจะมีการเลือกตั้งหรือไม่ ต้องรอดูกันต่อไป เมื่อถามต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ยืนยันว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือน ก.พ.2562 นายชวนตอบว่า ไม่กล้าไปรับหรือปฏิเสธว่าจะมีเลือกตั้งจริงตามนั้นหรือไม่ อำนาจอยู่ที่ฝ่ายรัฐบาลสามารถทำอะไรก็ได้

โวยุค “แม้ว” เฟื่องยังไม่สะท้าน

นายชวนกล่าวอีกว่า เมื่อการเลือกตั้งผ่านพ้นไปแล้ว ยังต้องพยายามทำให้ประเทศกลับไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ที่จริงบ้านเมืองไม่จำเป็นต้องปกครองด้วยระบอบเผด็จการถึงจะอยู่ได้ เพียงแต่การปกครองบ้านเมืองต้องใช้กฎหมายเป็นหลัก หากย้อนกลับไปดูรัฐบาลก่อนก็ใช้กฎหมายเป็นหลัก ไม่มีเครื่องมือกลไก หรือกฎหมายอะไรเป็นพิเศษ บ้านเมืองก็อยู่ได้ เคยคุยกับผู้หลักผู้ใหญ่ในเรื่องการยึดกฎหมายเป็นหลัก ไม่ใช่มาคิดกันแต่ว่าต้องรักษาความสามัคคีในชาติ อะไรที่ทำผิดไปแล้วก็ว่าไปตามกฎหมาย แต่ไม่ควรปล่อยไป

คนส่วนใหญ่ในชาติไม่ได้ทำผิด ส่วนการตั้งพรรครปช.ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อาจกระทบฐานเสียงในภาคใต้บ้าง เพราะยังมีความนิยมชมชอบส่วนตัวกันอยู่ แต่คิดว่าคนส่วนใหญ่ยังยึดพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเรายังเป็นหลักเป็นที่พึ่งของประชาชน มีอดีต ส.ส.บางคนที่ถูกชักชวนมาเล่าให้ฟังว่า มีหลายกลุ่มพยายามมาดึงไปอยู่ด้วย แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่กับเรา เคยมีตัวอย่างมาแล้วในยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร แต่สุดท้ายคนที่ไปก็สอบตก

ยันไม่มีชื่อชิงนายกฯแน่นอน

ผู้สื่อข่าวถามว่า พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่บางส่วนยังคงประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯอีกสมัย จะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคนที่สนับสนุน กับคนไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ นายชวนตอบว่า คนที่เรียกร้องให้ตั้งพรรคการเมืองมากๆ คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งความจริงแล้วถือเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยถูก เพราะอาจมีผลในวันข้างหน้า เมื่อถามถึงกรณีที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์บางคนอยากเสนอให้นายชวนมีชื่อเป็นหนึ่งใน 3 รายชื่อบุคคลที่จะมาเป็นนายกฯ ในนามพรรคประชาธิปัตย์ นายชวน กล่าวว่า “ไม่มีชื่อของผมอย่างแน่นอน”

ข้องใจหว่านงบ ครม.สัญจรแฝง

ด้านนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีนายกรัฐมนตรีเตรียมลงพื้นที่ประชุม ครม.สัญจร จ.พิจิตร และนครสวรรค์ ระหว่างวันที่ 11-12 มิ.ย.นั้น เป็นที่น่าสังเกตว่าโค้งสุดท้ายของรัฐบาล คสช. มีการประชุม ครม.สัญจรบ่อยครั้ง จนถูกตั้งคำถามว่ามีวาระแอบแฝงการหว่านงบประมาณหาเสียงล่วงหน้า วางมัดจำหรือไม่ พยายามดึงตัวอดีต ส.ส. มายกมือสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ให้เป็นนายกฯต่อหรือไม่ รัฐบาลเคยประเมินหรือมีตัวชี้วัดอะไรว่าประชาชนได้ประโยชน์จากการประชุม ครม.สัญจรบ้าง ถ้า ครม.สัญจรได้ประโยชน์ก็ไม่ต้องประชุม ครม.ในทำเนียบรัฐบาลกันแล้ว ถ้าต้องการเดินสายดูดอดีต ส.ส. จนถึงขณะนี้ใกล้จะเลือกตั้งอยู่แล้ว ยังดูดไม่พอใจอีกหรือ อยากให้ คสช.ตระหนักว่าเวลาของพวกท่านเหลือน้อยลงทุกขณะ คิดการเมืองให้น้อยๆ คิดถึงความทุกข์ยากของประชาชนให้มากๆ ประชาชนอยู่อย่างยากลำบาก โพลแทบทุกสำนักสะท้อนว่าประชาชนอยากเลือกตั้ง แม้แต่อดีตกองหนุน พล.อ.ประยุทธ์ยังพาเหรดไปตั้งพรรค ทำให้คนไม่อยากเลือกตั้งเหลือน้อยแล้ว ตอนนี้กลุ่มคนที่อยากยื้อเลือกตั้ง เหลือแค่ คสช. และแม่น้ำ 5 สาย ใช่หรือไม่

“เต้น” โต้ นปช.ไม่ใช่อุปสรรค

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า กรณีนายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครปช. ระบุว่าไฟขัดแย้งยังคุกรุ่นอยู่นั้น นปช.ไม่เคยเป็นอุปสรรคในกระบวนการสร้างความปรองดอง เคยไปให้ความเห็น ข้อเสนอแนะต่างๆตามที่ได้รับเชิญไม่เคยขาด แต่ไม่เห็นรูปธรรมใดๆ นายเอนกเคยลงเรือแป๊ะเป็นแม่งานด้านนี้มาก่อน แต่ยิ่งทำยิ่งเงียบ วันนี้ลาออกมาเป็นหัวหน้าพรรคแล้วพูดเรื่องปรองดอง ไม่ทราบว่าที่ทำไว้สำเร็จแค่ไหน การปรองดองต้องทำด้วยหัวใจ ไม่ใช่โวหาร เห็นข้อความที่โพสต์แล้วดูสละสลวย สะเทือนอารมณ์ แต่ไม่เห็นแนวทาง หรือข้อเสนอที่เป็นรูปธรรม ตนพูดมาตลอดว่าความขัดแย้งทางการเมืองไทยไม่ใช่เรื่องสีเสื้อ แต่เป็นการต่อสู้ของแนวคิดสองฝ่าย คือ เสรีนิยม กับอนุรักษนิยม แดง เหลือง นกหวีดไม่ใช่เหตุ แต่เป็นผลของความขัดแย้งนี้ จะสู้กันอีกกี่สิบปี เป็นตายกันอีกเท่าไร ไม่มีทางที่ฝ่ายใดจะกำจัดอีกฝ่ายให้หมดไปได้ เคยเสนอในวงปรองดองของ คสช.ว่าหลังเลือกตั้งต้องมีรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชน ยกเลิกคำสั่งคณะยึดอำนาจตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันทุกฉบับ ถ้าต้องออกกฎหมายทดแทนให้ใช้กระบวนการของรัฐสภา ปฏิรูปกองทัพ ไม่มีการแทรกแซงองค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรม ถ้าไม่เริ่มต้นด้วยสิ่งเหล่านี้ คำว่าปรองดองก็ไร้ความหมาย

เหน็บ “เอนก” แค่ลูกไล่ “เทือก”

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า นปช.ไม่เคยมีศัตรูเป็นบุคคล ใครยื่นมือมาตนไม่มีทางยื่นเท้ากลับไป ทุกฝ่ายหันหน้าพูดคุยกันได้ เดือนที่แล้วพบนายสุเทพในงานแต่งงาน ก็ทักทายกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล เจอกันบนศาลก็โอภาปราศรัย ทำหลักการให้ถูกต้องแล้วทุกคนอยู่ใต้หลักการเดียวกัน ไม่ฉีกหลักการเหมือนที่ผ่านมา ทุกอย่างจะเดินหน้าได้ “ผมไม่มีข้อขัดแย้งกับนายเอนก แต่ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่พูดคือแนวทางพรรค รปช.หรือไม่ คนทั่วไปเข้าใจว่าพรรคนี้นายสุเทพคือตัวจริง ถ้าไม่ใช่ นายเอนกต้องเร่งทำให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นยิ่งเข้าโหมดเลือกตั้ง พอนายสุเทพเดินสายปราศรัยกับประชาชน ต้องระวังจากหัวหน้าจะกลายเป็นหัวหลัก แม้แต่สมาชิกพรรคก็จะอยู่ใต้การนำของลุงกำนัน มากกว่าหนุ่มซินตึ๊ง”

4 ปี ถลุงไป 16 ลล.แต่คนยังจน

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีคำสั่งนายกรัฐมนตรีคืนตำแหน่งให้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ที่ถูกคำสั่งมาตรา 44 พักงาน หลังจากผลสอบไม่พบความผิดว่า ถ้ามองในมุมกลับ คนออกคำสั่งน่าจะมีความผิดที่ทำให้เกิดความเสียหายหลายประการ นับเป็นตัวอย่างการใช้มาตรา 44 ที่มีข้อผิดพลาด ส่วนการตั้งงบประมาณรายจ่ายปี 2562 ขาดดุลสะสมจำนวนมากนั้น ไม่ติดใจว่าจะใช้เงินมากหรือน้อย แต่ติดใจประสิทธิภาพการใช้งบ และการรั่วไหลมากกว่า 4 ปีที่ผ่านมางบความมั่นคงและงบกลางเพิ่มขึ้นๆ รัฐบาลทุ่มเทงบมหาศาลถึง 16 ล้านล้านบาท แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ยากจนลง แสดงว่าใช้งบประมาณไม่ถูกทาง

“ตือ” จี้ปลดล็อกคลายทุกปม

นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีนายกฯ ระบุว่าจะปลดล็อกให้พรรคการเมืองทีละขั้นตอน ว่า ถ้าเช่นนั้นแสดงว่าที่ผ่านมา 4 ปี ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง สิ่งที่ทำมาล้มเหลวหรือไม่ อยากให้วางใจ ทุกคนปรารถนาดีกับบ้านเมืองทั้งนั้น ไม่มีใครอยากสร้างปัญหา วันนี้ทุกคนมุ่งไปที่การเลือกตั้ง ไม่มีใครมองเรื่องอื่น คิดระแวงอยู่ตลอดเวลาบ้านเมืองจะอึมครึม เมื่อถามว่าเหตุที่ยังไม่ปลดล็อก อาจเพราะพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่พร้อม นายสมศักดิ์ตอบว่า อาจมีคนคิดในแง่ลบว่าเป็นการเอาเปรียบ ทุกอย่างต้องเป็นธรรม ทั้งกฎหมายและผู้ปฏิบัติ รวมถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องเป็นธรรม อย่าลักลั่น เมื่อเขียนกฎหมายวางระเบียบมาเองกับมือ จะเห็นทุกอย่างเป็นไปตามที่กำหนด ต้องให้ความเป็นธรรมกับพรรคใหม่ ไม่ว่าจะสนับสนุนหรือคิดตรงข้ามกับ คสช. เริ่มต้นยังไปเลือกปฏิบัติปัญหาก็เกิด ทำให้ทุกคนขาดความเชื่อถือ ไม่ยอมรับกติกาและการปฏิบัติของฝ่ายปฏิบัติ 4 ปีที่ผ่านมาได้วางกติกาได้เปรียบคนอื่นอยู่แล้ว แล้วจะเอาเปรียบอีก ให้ระวังว่าจะสะท้อนกลับ เพราะสังคมไทยมีจุดเด่นที่สงสารมวยรอง และคนที่ถูกกระทำ

แซะ “เทือก” โชว์สนิมสร้อยไร้สาระ

นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า ส่วนการประกาศตั้งพรรค รปช. ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่น่าผิดหวังที่การเปิดตัวกลับตรงกันข้ามกับพรรคคนรุ่นใหม่ ขณะที่พรรคเก่ายังรำพึงรำพันร้องไห้ถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งมันไม่ใช่ ในเมื่อประกาศว่าจะปฏิรูปคนก็อยากเห็นอนาคต ไม่ใช่สิ่งที่มองไปข้างหลัง อย่าคิดว่าจะใช้ความเจนจัดและลีลาแล้วทำให้คนมาสนใจ แต่ต้องคิดว่าวันนี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว ประชาชนอยากรู้ว่าตั้งพรรคใหม่แล้วจะทำอะไร สิ่งที่ประกาศว่าจะปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง แต่เวลานี้ยังไม่ปฏิรูป แล้วคุณมาตั้งพรรคก่อน แล้วมีอะไรที่จะนำเสนอ “นายสุเทพขึ้นปราศรัยไม่มีการนำเสนอวิสัยทัศน์ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง หรือปฏิรูปประเทศ เหมือนตอนที่ไป ชัตดาวน์ประเทศ แล้วมาประกาศจะปฏิรูป จึงกลายเป็นความย้อนแย้งกัน ถ้ามองลีลาถือว่าได้ 100 คะแนนเต็ม ไม่มีทางสู้ แต่สาระเป็นคนละเรื่อง”

ภท.เชื่อหาสมาชิกได้ทันเส้นตาย

นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงอุปสรรคปัญหาของพรรคการเมืองที่เกรงว่าจะไม่สามารถหาสมาชิกเพื่อจัดทำไพรมารีโหวตได้ทัน ว่า แม้พรรคภูมิใจไทยจะมีสมาชิกยืนยันเพียง 900 กว่าคน เพราะไม่ได้ดำเนินการเพื่อให้สมาชิกแสดงตน เนื่องจากเป็นความไม่สะดวก แต่เชื่อว่าเมื่อ คสช.เปิดให้ทำกิจกรรมได้ เราจะหาสมาชิกให้ได้ตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งเรื่องการจัดตั้งสาขาพรรค หาสมาชิกเพื่อทำไพรมารีโหวต เชื่อว่าไม่มีปัญหาแน่นอน เพราะมีผู้ประสงค์จะเป็นสมาชิกพรรคอยู่แล้ว แต่ควรจะมีเวลาให้ดำเนินการบ้างพอสมควร เพื่อให้ผู้สนใจสมัครเป็นสมาชิกพรรค มั่นใจว่า คสช.เข้าใจในจุดนี้

พลังธรรมใหม่ห่วงยอดหนี้พุ่ง

นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2557-2561 ที่รัฐบาล คสช.มาบริหารประเทศ มีการใช้งบเกินดุลใน 4 ปีนี้ถึง 1.79 ล้านล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุน แม้จีดีพีจะสูงขึ้น แต่ความสุขคนไทยลดลง ราคาผลผลิตการเกษตรตกต่ำ ประชาชนลำบากทั้งประเทศ เห็นชัดเจนว่าแนวทางการใช้งบประมาณผิดเป้าหมายก่อให้เกิดภาวะรวยกระจุกจนกระจาย จึงอยากเสนอให้นายกฯทบทวนการใช้งบประมาณ โดยมุ่งเน้นกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเป็นหลัก อย่าใช้งบเกินดุล เพราะนอกจากเศรษฐกิจภาคประชาชนไม่ฟื้นแล้ว หนี้สินคนไทยในรอบ 5 ปีมานี้ คือตั้งแต่ปี 2557-2562 เป็นหนี้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1.7 แสนบาทต่อคน

ไทยศรีวิไลย์ชูธงปราบโกง

วันเดียวกันที่โรงแรมเซ็นทราศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ พรรคไทยศรีวิไลย์ (ทศล.) จัดประชุมใหญ่สามัญ ครั้งที่ 1 โดยที่ประชุมมีมติเลือกนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ เป็นหัวหน้าพรรค นายณัชพล สุพัฒนะ หรือมาร์ค พิตบลู และ พล.ท.อัศวิน รัชฎานนท์ เป็นรองหัวหน้าพรรค นายวิวัฒน์ เจริญพาณิชศิริ เป็นเลขาธิการพรรค จากนั้นมีการประกาศนโยบายพรรค 3 ข้อ คือ ปราบปรามการทุจริตทุกรูปแบบ ปฏิรูประบบราชการทุกภาคส่วนให้เป็นที่พึ่งและรับใช้ประชาชน และปกป้องคนจนไม่ให้คนรวยรังแก ไม่ให้ถูกเอารัด เอาเปรียบ จากนั้นมีการจัดกิจกรรมรับมอบพระแสงดาบ (จำลอง) สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จากเจ้าอาวาสวัดพรานนก อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา และแสดงการทุบหม้อข้าวประกาศปราบโกงทั่วทั้งแผ่นดินด้วย

“สัญญา” เบรก รปช.แบ่งขั้ว–ข้าง

ขณะที่นายสัญญา สถิรบุตร อดีต ส.ส.กทม. กล่าวว่า ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำกปปส. เข้าไปมีส่วนร่วมก่อตั้งพรรค รปช. ไม่ว่าจะอยู่เบื้องหลังหรือไม่ไม่สำคัญ แต่สำคัญตรงที่ตั้งมาเพื่ออะไร สนับสนุนใคร หรือเข้าใจประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วมแค่ไหน และที่นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เรียกร้องให้ทุกฝ่ายสร้างความสามัคคีปรองดอง แต่เท่าที่เห็นนายเอนกไปทำงานเรื่องนี้กับรัฐบาล คสช. ยังไม่เห็นอะไรเป็นรูปธรรม การมาทำพรรคที่ถูกมองว่าสนับสนุน คสช. ทำให้การเมืองตอนนี้ไม่แตกต่างจาก 4 ปีก่อน คือมี 2 ฝั่ง 2 ฝ่าย แนวโน้มจะพัฒนาไปสู่ความขัดแย้งเรื่องสีเสื้อเช่นเดิม ทางที่ดีคือต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ โดยเฉพาะการร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังถูกสังคมจับตาว่าต้องการสืบทอดอำนาจ กฎกติกาหลายเรื่องไม่เป็นประชาธิปไตย จึงเสนอให้พรรคการเมืองต่างๆที่จะลงสนามเลือกตั้ง โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคเพื่อไทย จับมือกันชั่วคราว ประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยเป็นเรื่องแรก และควรเพิ่มระบบลูกขุนสภา ดึงทุกภาคส่วนมาร่วมแก้ข้อขัดแย้งในระบบ ไม่ให้เกิดม็อบนอกสภา หรือมีนักการเมืองนำคนลงสู่ท้องถนน

คสช. ชงขอ ครม. บำเหน็จ 2 ขั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถาน (ครม.สัญจร) ที่ จ.นครสวรรค์ และพิจิตร ในวันที่ 12 มิ.ย. สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (สลธ.คสช.) เสนอ ครม.พิจารณาอนุมัติหลักการโควตาบำเหน็จประจำปี (2 ขั้น) นอกเหนือโควตาปกติ ให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานใน คสช.ประจำปีงบประมาณ 2561 (1 ต.ค.60-30 ก.ย.61) ในอัตราร้อยละ 3 ของจำนวนเจ้าหน้าที่ผู้ที่ปฏิบัติงานใน คสช. จำนวน 19,987 นาย คิดเป็นจำนวน 600 นาย โดยให้ใช้งบรายจ่ายประจำปีของส่วนราชการต้นสังกัดในโอกาสแรกก่อนและหากไม่สามารถดำเนินการได้ ขอให้เบิกจ่ายจากงบกลาง ในลักษณะเดียวกับการเบิกจ่ายงบประมาณให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้มีผลการปฏิบัติงานด้านยาเสพติด ซึ่งหัวหน้า คสช.ได้เห็นชอบแล้ว ทั้งนี้ สลธ.คสช. เห็นว่าเพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้วยความทุ่มเท เสียสละ มีผลการปฏิบัติงานเด่นชัด เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง หลังเกิดความขัดแย้งการเมืองอย่างรุนแรง เกิดการชุมนุมประท้วงในห้วงปี 2556-2557

ครม. สัญจรเปิดรับเรื่องร้องเรียน

นายสมพาศ นิลพันธ์ รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ตั้งจุดรับเรื่องร้องเรียนระหว่างการประชุม ครม.สัญจร จ.พิจิตร และนครสวรรค์ ระหว่างวันที่ 11-12 มิ.ย. โดยวันที่ 11 มิ.ย. เปิดจุดให้บริการที่สำนักงานโยธาธิการและผังเมือง วัดท่าหลวง จ.พิจิตร ส่วน จ.นครสวรรค์ เป็นที่องค์การบริหารส่วนตำบลแควใหญ่ สำหรับวันที่ 12 มิ.ย. เปิดศูนย์ฯ ที่ศาลาประชาคม ศาลากลางจังหวัดนครสวรรค์ และวัดลาดพร้าว อ.เก้าเลี้ยว โดยจะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคอยให้บริการ เบื้องต้นได้รับการประสานแจ้งว่าจะมีกลุ่มเกษตรกรจากกองทุนฟื้นฟูช่วยเหลือเกษตรกรฯ เตรียมเดินทางมายื่นข้อร้องเรียนให้นายกฯ ส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องหนี้สินและคัดค้านเรื่องโรงไฟฟ้าขยะ และการทำเหมืองแร่ เป็นต้น

“พิชัย” ย้ำวิธีลดราคาพลังงาน

อีกเรื่อง นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวในงานสัมมนา “แก้ปัญหาพลังงานอย่างไร ไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน” ว่าขอย้ำสิ่งที่เคยเสนอไว้แล้ว ไม่ว่าราคาพลังงานจะขึ้นหรือลง รัฐบาลควรดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้ให้ถูกต้อง เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ประชาชนผู้บริโภค คือปรับราคาเอทานอลให้อยู่ในราคาตลาด รวมถึงการกำหนดราคาน้ำมันปาล์มที่ผสมในไบโอดีเซลให้เหมาะสม การกำหนดราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่นให้เท่าสิงคโปร์ โดยไม่ต้องรวมค่าขนส่งจากสิงคโปร์ และการกำหนดค่าการตลาดให้เหมาะสม ทั้งนี้ อยากเห็นแนวทางนโยบายพลังงานของรัฐบาลที่ชัดเจน เพราะแนวทางปัจจุบันสร้างความสับสนกับประชาชนมาก และอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ถามตัวเองบ้างว่า ได้ทำอะไรบ้างตลอด 4 ปีนี้ในเรื่องพลังงาน เพราะประชาชนนึกไม่ออก

นายกฯบินยุโรปเลื่อนถก ครม.

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า เนื่องด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. มีกำหนดเดินทางเยือนสหภาพยุโรป เยือนประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 19-26 มิ.ย. จึงได้แจ้งเลื่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ออกไป จากเดิมวันที่ 26 มิ.ย. ไปเป็นวันที่ 27 มิ.ย.

สองพี่น้อง “ชินวัตร” ยังอยู่สหรัฐฯ

สำหรับความเคลื่อนไหวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี วันเดียวกันนี้นายทักษิณได้โพสต์ภาพชุดผ่านอินสตาแกรมคู่กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหลายภาพ เป็นภาพบรรยากาศการพักผ่อนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมข้อความว่า “เยือนสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ ได้มีโอกาสพบกับเพื่อนเก่าๆ ทั้งจากสมัยยังเป็นนักเรียน นักธุรกิจ จนถึงตอนทำงานการเมืองครับ เริ่มทริปจากกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนที่เป็นนักการเมือง แล้วไปพบเพื่อนนักธุรกิจที่รัฐนิวยอร์ก และจบทริปด้วยการไปรัฐเคนตักกี ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่ทั้งผมและน้องสาวเคยมาเรียนปริญญาโทที่รัฐนี้ แต่คนละช่วงเวลากัน การได้มาเยือนสถานที่ที่เราได้เคยใช้ชีวิตอยู่มาช่วงเวลาหนึ่ง การได้ระลึกถึงวันเก่าๆที่ผ่านมาในสถานที่เดิมๆ มันเป็นความสุขอย่างบอกไม่ถูก แล้ววันหลังจะส่งรูปมาให้ดูเรื่อยๆครับ”

จ่อรื้อรีสอร์ตผิด ก.ม. เกาะพีพี

อีกเรื่อง พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ชื่นชมกิจกรรมของการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย ภาครัฐ และเอกชนที่ให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดงานวิ่ง Trad Dream Islands Run 2018 วิ่งตามหาเกาะในฝัน เกาะช้างเลี้ยวซ้าย และงานวันทะเลโลกที่ จ.ภูเก็ต อีกด้านหนึ่งรัฐบาลได้รับข้อร้องเรียน เช่น การก่อสร้างอาคารและที่พักที่มีความลาดชันเกินกว่ากฎหมายกำหนดบนเกาะพีพี การประกอบธุรกิจดำน้ำไม่ตรงตามที่ได้รับอนุญาต การดัดแปลงอาคารพาณิชย์ผิดประเภทเพื่อทำธุรกิจโรงแรม การรับคนต่างด้าวเข้าพักอาศัยและทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้บูรณาการเข้าตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฎหมาย เร่งรัดให้แก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว

คนมองบ้านเมืองปฏิรูปบางส่วน

วันเดียวกัน นิด้าโพลเปิดผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง “การปฏิรูปประเทศ 11 ด้าน” จากกลุ่มตัวอย่างอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวน 2,039คน พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 64.98 เข้าใจว่าการปฏิรูปคือการเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้นด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกคน โดยร้อยละ 58.21 รู้สึกว่าบ้านเมืองมีการปฏิรูปบางส่วนแล้ว ขณะที่ร้อยละ 27.02 รู้สึกว่ายังไม่มีการปฏิรูป และส่วนใหญ่เชื่อมั่นว่าการปฏิรูปทั้ง 11 ด้านมีโอกาสที่จะสำเร็จ เมื่อถามถึงความมั่นใจในการปฏิรูปประเทศ รวมถึงการปฏิรูปการศึกษา และการปฏิรูปตำรวจ จะช่วยให้ประชาชนอยู่ดีกินดีอย่างพอเพียง ประเทศมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ร้อยละ 36.49 ค่อนข้างมั่นใจ แต่ร้อยละ 32.96 ไม่ค่อยมั่นใจ ร้อยละ 16.48 ไม่มั่นใจเลย มีเพียงร้อยละ 8.09 ที่มั่นใจมาก

เลือกตั้งแล้วได้รัฐบาลที่ดีกว่า

ขณะที่สวนดุสิตโพล เปิดผลสำรวจความเห็นเรื่องสถานการณ์ทางการเมืองจากประชาชนจำนวน 1,130 คน พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 39.48 มีความสนใจต่อการเมืองไทยในช่วงนี้ รองลงมาคือการบริหารงานของรัฐบาล การตั้งพรรคใหม่ สำหรับบทเรียนในอดีตที่ประชาชนอยากบอกนักการเมืองที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส่วนใหญ่ร้อยละ 60.09 ระบุว่าเป็นเรื่องไม่ทุจริต ไม่ซื้อเสียง ไม่โกงเลือกตั้ง รู้จักแพ้ชนะ เมื่อถามว่าตั้งใจจะเลือกผู้สมัคร ส.ส.แบบใด ส่วนใหญ่ร้อยละ 45.60 ระบุว่า เป็นคนดี ประวัติดี ซื่อสัตย์ รองลงมา เป็นคนรุ่นใหม่ มีวิสัยทัศน์ เก่ง รับฟังเสียงประชาชน เมื่อถามว่ารัฐบาลใหม่ที่จะได้หลังการเลือกตั้ง ร้อยละ 51.45 ระบุว่า ดีกว่ารัฐบาลที่ผ่านมา ร้อยละ 42.30 มองว่าเหมือนๆกับรัฐบาลที่ผ่านมา และร้อยละ 6.25 แย่กว่ารัฐบาลที่ผ่านมา