4 ปีมิคสัญญี 5 ปีรุ่งโรจน์

เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อ มีปัจจัยทางการเมืองเป็นตัวแปรสำคัญ 10 กว่าปีที่ผ่านมาประเทศไทยเป็นยังไง ย่อมรู้กันดีแล้ว

แม้ คสช.จะเข้ามาคุมอำนาจการปกครองประเทศเมื่อปี 2557 แรกๆดูเหมือนจะเกิดปฏิกิริยาจากนานาชาติค่อนข้างแรง

แต่ระยะหลังที่เกิดความเปลี่ยนแปลงผู้นำโลกโดยเฉพาะสหรัฐฯ สถานการณ์จากต่างประเทศเริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ

พูดง่ายๆว่าได้รับการยอมรับมากขึ้น

ประเทศมีความสงบร่มเย็นไม่มีเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่ความรุนแรง ผลจากสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น จึงมีผลดีโดยรวม

U.S.News สื่อชั้นนำจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอิทธิพลต่อการจัดอันดับประเทศทั่วโลกด้วยฐานข้อมูลที่แน่นและน่าเชื่อถือมาก

ได้จัดอันดับ “ประเทศที่ดีที่สุดในโลก” ล่าสุดประจำปี 2018 พบว่า “ประเทศไทย” คว้าอันดับ 1 เป็นประเทศที่เหมาะสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจในโลก (Best Country to Start Business) 3 ปีซ้อน

ได้คะแนนรวมอยู่อันดับที่ 27 สำหรับประเทศที่ดีที่สุดในโลก โดยใช้เกณฑ์ชี้วัดจากหลายด้าน เช่น คุณภาพชีวิตของประชากร วัฒนธรรม การศึกษา การเมือง เศรษฐกิจและการลงทุน

ได้ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศชั้นนำของโลกอีกหลายด้าน

อันดับ 1 ประเทศที่เหมาะสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจมากที่สุดในโลก

อันดับ 5 ประเทศที่เหมาะสำหรับการมาศึกษาต่อมากที่สุดในโลก

อันดับ 8 ประเทศที่เหมาะสำหรับการลงทุนมากที่สุดในโลก

อันดับ 9 ประเทศที่เหมาะสำหรับการมาเที่ยวคนเดียวมากที่สุดในโลก

อันดับ 20 ประเทศที่เหมาะสำหรับการเริ่มต้นทำงานมากที่สุดในโลก

อันดับ 20 ประเทศที่เหมาะสำหรับการเกษียณอายุมากที่สุดในโลก

อันดับ 27 ประเทศที่ดีที่สุดในโลกในภาพรวม

...

อันดับ 28 ประเทศที่มีการวางแผนอนาคตมากที่สุดในโลก

ก่อนหน้านี้มีการเสนอข้อมูลที่ว่าประเทศไทยในอีก 5 ปีข้างหน้า จะขึ้นแท่นเป็น “เมกะซิตี้” เทียบมหานครโลก

เนื่องจากมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รถไฟฟ้า โรงแรมชั้นนำเพื่อเสริมความแข็งแกร่งเทียบเท่านิวยอร์ก ลอนดอนและอีกหลายเมืองใหญ่ในโลกนี้

ประเทศไหนได้ถูกจัดอันดับในลักษณะนี้เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆในโลกใบนี้นั่นคือตัวบ่งชี้ถึงอนาคตและความเจริญเติบโตอย่างไม่ต้องสงสัย

ก็ต้องถือว่าส่วนหนึ่งเป็นผลงานของ คสช.ที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการตัดสินใจในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะรถไฟฟ้า ในระบบต่างๆทั้งทางคู่ ใต้ดิน บนดิน ซึ่งเป็นระบบเกือบครบวงจร

กรุงเทพฯเลยเด่นสง่าเพิ่มขึ้นไปอีก

ว่าไปแล้ว หากรัฐบาล คสช.มุ่งเน้นไปที่การสร้างงานในลักษณะนี้ รวมถึงโครงการ อีอีซี ระเบียงเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นงานชิ้นโบแดง อีกเรื่องหนึ่ง

หากทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยก็ไปโลดแน่

แต่ปัญหาวันนี้ยังวนอยู่กับเรื่องการเมือง แม้แต่ คสช.เอง ก็เข้าไปอยู่ตรงกลางของศูนย์ความขัดแย้งที่ยังไม่รู้จะเอาตัวรอดได้หรือไม่

หากการเมืองยังไม่ชัดเจน ไม่รู้อนาคตว่าจะไปทางไหน รัฐมนตรีบางคนของรัฐบาลยังเป็นตัวปัญหาที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น

ครับ...น่าเสียดายแทนประเทศไทยครับ.

“สายล่อฟ้า”