ยัน‘ประวิตร-อนุพงษ์’อยู่ครบ เรื่องครม.ใหม่เสร็จในธ.ค.นี้ ศาลฎีกาเลือก‘ฉัตรไชย’กกต.
“บิ๊กตู่” ง่วนจัดโผ ครม.ประยุทธ์ 5 แย้มเสร็จแล้วรอเคลียร์เอกสาร ยันยังอยู่ครบทั้ง “พี่ป้อม-พี่ป๊อก” ส่วน “บิ๊กฉัตร” ก็อยู่แต่ไม่รู้นั่งตรงไหน อวย “บิ๊กแป๊ะ” ทำงานดีอยู่แล้ว โบ้ยพวกปล่อยข่าวเลื่อยเก้าอี้ เผยไม่มีนักการเมืองร่วม ครม.ตามข่าว วอนเลิกมโนโผกันเสียที ขอใจเย็นๆ จะเสร็จสิ้นภายในเดือน ธ.ค. ยันจุดมุ่งหมายปรับกระบวนทัพเพื่อสร้างความมั่นใจ ยอมรับใคร่ครวญกรณี รมต.พันหุ้นด้วย “สมคิด” กระเซ้าสื่อเจอ “บิ๊กป้อม” เอ็ดแน่หลังเสนอข่าวหลุด รมว.กลาโหม “บิ๊กช้าง” ออก สนช.แล้วจ่อนั่ง รมว.แรงงาน นายกฯ ยันเองไม่มีเกณฑ์คนตอบ 6 คำถาม วอนอย่าไปฟังพวกบิดเบือน แจงกติกาใหม่เลือก ส.ส.ยากสุดๆ เป็นรัฐบาลพรรคเดียว “บิ๊กตู่” แจงแก้ยางต้องมีสเต็ป แจกเงินกำปั้นทุบดินไร้ผล ย้ำความจำเป็น ปลูกพืชอื่นทดแทน วอนอย่าเข้ากรุงประท้วง
หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เดินทางกลับจากการปฏิบัติภารกิจต่างประเทศ และเก็บตัวเงียบทำงานอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ท่ามกลางกระแสข่าวกำลังจัดทำรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่หรือ ครม.ประยุทธ์ 5 ล่าสุดนายกรัฐมนตรีออกมาเผยความคืบหน้าการปรับ ครม.แล้ว
“บิ๊กตู่” กำลังทำโผ ครม.ประยุทธ์ 5
เมื่อวันที่ 17 พ.ย. เวลา 09.30 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 6/2560 โดยมีรัฐมนตรีและตัวแทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ก่อนการประชุม พล.อ.ประยุทธ์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงการปรับ ครม.สั้นๆ ถึงกระแสข่าวนายกฯจะนั่งควบตำแหน่งกลาโหมว่า “ให้รอดู” เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า สรุปว่าได้นำรายชื่อ ครม.ใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯแล้วหรือยัง พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “กำลังทำอยู่”
...
เผยจัดเสร็จแล้ว ปัดควบ กห.
ต่อมาเวลา 11.25 น. พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงการปรับ ครม.ว่า “วันนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังมีขั้นตอนการทำงานเอกสารอีกเยอะแยะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ตนก็ทำดีที่สุดแล้วแหละ วันนี้เสร็จแล้ว” เมื่อถามย้ำกระแสข่าวนั่งควบเก้าอี้ รมว.กลาโหมจริงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “ยังไม่มี” ก่อนย้อนถามว่า ข่าวใครพูด เมื่อผู้สื่อข่าวระบุว่า เป็นแหล่งข่าวจากหนังสือพิมพ์ พล.อ.ประยุทธ์จึงกล่าวว่า ถ้าหนังสือพิมพ์ลง คุณก็ให้ไปเชื่อหนังสือพิมพ์สิ
ยังอยู่ครบทั้ง “พี่ป้อม-พี่ป๊อก”
เมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ยังอยู่ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “อยู่ ทำไมรังเกียจท่านหรือไง ทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยังอยู่ทั้งสองคนแหละ”
“บิ๊กฉัตร” ยังอยู่แต่ไม่บอกเก้าอี้
เมื่อถามว่า พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เพื่อนของท่านยังอยู่ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “อยู่ แต่อยู่ไหนก็ไม่รู้” เมื่อถามว่า มีรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามากี่คน นายกรัฐมนตรีตอบว่า ไม่รู้ ลุ้นเอาเอง นอกจากนี้นายกฯยังระบุด้วยว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้ทำอยู่คนเดียว เป็นอำนาจนายกฯ
ยันไร้ชื่อ “บิ๊กแป๊ะ” ร่วม ครม.
จากนั้นเวลา 15.40 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.)ครั้งที่ 2/2560 ถึงกระแสข่าวการปรับ ครม.ที่มีรายชื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เข้ามาร่วม ครม.ว่า “ไม่มี เขาทำงานดีอยู่แล้วจะเอามาทำไม อยากถามว่ากระแสข่าวที่ออกมาเป็นของใคร ใครเป็นคนเลื่อยเก้าอี้ วันนี้สื่อจะฟังตำรวจ หรือฟังผม ตำรวจเป็นคนปรับ หรือสื่อเป็นคนปรับ วันนี้ผมบอกว่าไม่มีก็จบแล้ว จะหาเหตุอะไรมาได้อีก จะมาซักต่อกันทำไม”
ไม่มีนักการเมือง-เสร็จภายใน ธ.ค.
ผู้สื่อข่าวถามถึงความชัดเจนกรณีข่าวว่านายกฯจะนั่งควบเก้าอี้ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า “ไม่ควบ แล้วจะเอาอะไรอีก ทุกวันนี้ผมก็ควบทุกกระทรวงอยู่แล้ว เพราะมันเป็นนโยบายของผม ริเริ่มนโยบาย วิสัยทัศน์ต่างๆก็ใส่ลงไป
จากนั้นก็มีการติดตามการขับเคลื่อนในฐานะที่กำกับดูแล เราก็ต้องรู้ในทุกกระทรวงอยู่แล้ว ไม่ใช่เก่งแต่ต้องรู้ว่าเราจะบริหารอย่างไร พร้อมกับรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน จากสื่อโซเชียลมีเดีย เพื่อนฝูง
พี่น้อง ใครบอกมาก็ฟัง ไม่เห็นใจผมบ้างหรืออย่างไร ในหัวผมต้องย่อต้องสรุปเท่าไหร่ ยืนยันที่ผ่านมาไม่ได้เก็บตัวอะไร ผมมีงานที่ต้องทำของผมอยู่ ก่อนหน้านี้ไม่อยู่หลายวันเอกสารกองท่วมหัวก็ต้องมานั่งเขียนใหม่ในการประชุมแต่ละครั้ง จะต้องประชุมและสั่งการอะไร ต้องอ่านเอกสารทุกเรื่อง ทำไมจะต้องให้ผมออกมาโชว์ตัวทุกวัน สื่อจะต้องสัมภาษณ์ทุกวันอย่างนั้นหรือ เรื่อง ครม.วันนี้ขอให้จบเสียที ที่พูดๆกันมาไม่มีนักการเมืองที่ว่าจะเข้ามาก็ไม่มี เลิกลือกันเสียที กำลังดำเนินการตามขั้นตอน ก็คงไม่นาน คาดว่าอย่างไรก็ภายในเดือน ธ.ค.นี้ โอเคนะภายในเดือน ธ.ค. ขอให้ใจเย็นๆ”
ปรับ ครม.มุ่งสร้างความมั่นใจ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ผมทำดีที่สุด ต้องการเอาคนที่เข้ามาให้เกิดความเชื่อมั่นไว้วางใจ และไม่ได้หมายความว่าคนเก่าไม่ดี แต่คนไทยเป็นคนขี้เบื่อก็จะดูให้ และจะปรับให้ อยากเรียนว่าทั้งหมดเราได้มีการคุยและหารือ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลประยุทธ์ 1-2-3-4 ทุกคนต่างทำงานมาด้วยกัน ถ้าจะบอกว่าทำไม่ดีก็อยากจะขอถามกลับว่าแล้วมาถึงทุกวันนี้ได้เพราะอะไร ก็เป็นเพราะทุกคนทำงานร่วมกันมา ก็ต้องมีคนที่สานต่อมีคนที่ได้เริ่มต้นไปแล้วถึงวันนี้ก็ต้องพักผ่อนทำนองนี้ เอาเป็นว่าผมหาคนที่เหมาะสมเข้ามาก็แล้วกัน ในเมื่อนักการเมือง ประชาชนยังมีปัญหาอยู่บางประการก็ต้องการให้เขาสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้ได้”
กำลังดูกรณี ป.ป.ช.สอบหุ้น รมต.ด้วย
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งผลการตรวจสอบ 2 รัฐมนตรีที่ถือหุ้นเกินร้อยละ 5 คือนายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรม และนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมช.พาณิชย์ ให้กับนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ตอบว่า ส่งมาก็ขึ้นอยู่กับขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมว่าอย่างไร ถ้ายังไม่ได้ตัดสิน ยังไม่ชัดเจนก็ไม่มีปัญหาอะไรก็สู้กันไปก่อน หมายความว่ายังทำงานได้ เรื่องนี้ตนรู้รายละเอียดแล้ว ก็ต้องไปดูก่อนว่าหุ้นดังกล่าวมีการถือครองก่อนหรือหลังการเข้ามาเป็นรัฐมนตรี เรื่องนี้ต้องว่ากันอีกที ดูทั้งกฎหมายเก่าและใหม่ เรื่องนี้ยังถกแถลงกันอยู่ วันนี้เมื่อ ป.ป.ช.ส่งเรื่องมาก็คือส่งมา เมื่อมีคนฟ้องก็ส่งมา กระบวนการยุติธรรมก็ต้องไปสอบสวน ถ้าสอบสวนแล้วพบว่ามีปัญหาก็ออกและก็จบความจริงแล้วยังไม่มีข้อยุติก็ต้องว่าไปตามหลักฐาน ตามกฎหมาย ส่วนการปรับ ครม.ครั้งนี้ ก็ได้มีการ พิจารณาและดูถึงกรณีผู้ที่ถือหุ้นด้วยเช่นกัน
วอนพอได้แล้วหยุดมโนโผ ครม.
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังการให้สัมภาษณ์ พล.อ.ประยุทธ์ยังกล่าวขณะเดินขึ้นห้องทำงานบนตึกไทยคู่ฟ้าว่า “เรื่อง ครม.พอแล้ว อย่าไปมโนกันมากนัก เพราะถ้าไม่แก้ไขที่ตัวเอง ตั้งใครมามันก็ไร้ค่าเหมือนเดินนั่นแหละ เดี๋ยวจะเอาเทวดามาเป็น”
“อภิรดี” เด้งเชือกข่าวหลุดเก้าอี้
ด้านนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าจะถูกปรับออกจากตำแหน่งว่า เรื่องการปรับ ครม.ได้รับทราบจากข่าวของสื่อมวลชนเท่านั้น และปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่านายกรัฐมนตรีได้แจ้งเรื่องการปรับเปลี่ยนแล้วหรือยัง
“สมคิด” หยอกสื่อเจอ “บิ๊กป้อม” ด่าแน่
ขณะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ กล่าวหยอกล้อกับผู้สื่อข่าวถึงการปรับ ครม.ว่า “วันนี้เห็นจัดโผกันใหญ่ มีกี่ชุดแล้ว” ผู้สื่อข่าวจึงตอบว่ามีโผออกมาหลายชุดแล้วมีข่าวใหญ่ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ไม่ได้อยู่ตำแหน่งเดิม นายสมคิดจึงกล่าวว่า “เดี๋ยวพี่ป้อมกลับมาด่าแน่นอน” ก่อนที่จะหันมาหัวเราะกับสื่อมวลชนอย่างอารมณ์ดี พร้อมระบุว่า “ส่วนผมไม่ได้ขอปรับเพิ่มตำแหน่งแต่อย่างใด”
“บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ลงเรือลำเดียวกัน
วันเดียวกัน พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผบ.ทร. กล่าวถึงการจัดงานมหกรรมทางเรือนานาชาติ เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี การก่อตั้งอาเซียนว่า เรามีความพร้อมแล้วสำหรับการจัดงานมหกรรมทางเรือนานาชาติฯที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 18-20 พ.ย. โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ยังคงยืนยันมาเป็นประธานเปิดงานในวันที่ 19 พ.ย.นี้ ที่โรงแรมดุสิตธานีพัทยา จ.ชลบุรี เหมือนเดิม และยังเข้าร่วมตรวจพลสวนสนามทางเรือนานาชาติบนเรือหลวงถลาง ร่วมกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. ในวันที่ 20 พ.ย. ด้วย และในช่วงเย็นจะมีการจัดงานเลี้ยงรับรองวันกองทัพเรือไปในคราวเดียวกัน
“บิ๊กช้าง” ลาออก สนช.จ่อนั่ง รมต.
ช่วงเย็นวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และอดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสนช.ต่อประธาน สนช.แล้ว ท่ามกลางกระแสข่าวการปรับ ครม.ประยุทธ์ 5 ที่มีรายชื่อ พล.อ.ชัยชาญดำรงตำแหน่ง รมว.แรงงาน ซึ่งเป็นโควตาของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและ รมว.กลาโหม และมีข่าวว่า พล.อ.ชัยชาญจะได้ตำแหน่งดังกล่าวมาตั้งแต่ต้น
รับ ครม.ใหม่สั่งปลูกบัวหลวง 7 อ่าง
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล วันเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่จากสวนนงนุชได้นำบัวหลวงมาปลูกในสระน้ำหลังตึกไทยคู่ฟ้า 7 อ่างใหญ่ คู่ขนานกับตึกภักดีบดินทร์ที่เพิ่งสร้างเสร็จ โดยเวลา 10.00 น. พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกฯ ลงมาตรวจดูความเรียบร้อย ก่อนเปิดเผยว่า การนำบัวหลวงมาลงที่สระน้ำดังกล่าว ไม่ได้มีความเชื่ออะไรเป็นพิเศษ เพื่อให้เกิดความสวยงามเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า พล.อ.ประยุทธ์ชื่นชอบบัวหลวงเป็นพิเศษและเคยให้นำมาลงไว้ในกระถางรอบสวนในทำเนียบรัฐบาล ซึ่งคนโบราณเชื่อว่าบัวหลวงเป็นไม้มงคล ส่งเสริมให้มีใจบริสุทธ์ เบิกบาน อีกทั้งยังเชื่อว่าสายใยของบัว คือสายสัมพันธ์ของครอบครัว ทำให้ทุกคนมีความห่วงใยแนบแน่น การปลูกบัวหลวงในครั้งนี้ สอดคล้องกับการที่นายกฯตัดสินใจปรับ ครม. บรรดาข้าราชการและเจ้าหน้าที่ คาดว่าเป็นการปลูกเพื่อเสริมสร้างสายใยของ ครม.ใหม่ให้เกิดความเหนียวแน่นและเป็นการเสริมสิริมงคล
นายกฯ ยันไม่มีเกณฑ์คนตอบคำถาม
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ให้สัมภาษณ์ถึงการเปิดให้ประชาชนตอบคำถาม 6 ข้อ ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ติติงนักการเมืองเลย ทุกเรื่องที่ทำไม่ว่าจะเป็นประเด็น 6 คำถาม หรือ 4 คำถาม เพียงแค่ต้องการสื่อสารกับประชาชนโดยตรง ไม่ได้ไปเกณฑ์มา ส่วนถ้าเขาจะชวนมาเองก็คงไม่เป็นอะไร แต่ไม่ใช่เอารถไปรับมา หรือไปออกคำสั่งว่าบ้านนี้ต้องมาเท่านี้ ยืนยันว่าไม่มี ถ้ามีจะลงโทษ เพราะไม่ต้องการแบบนั้น อีกทั้งตนไม่ต้องการโพล และไม่ใช่โพลของรัฐบาล เป็นการทำโดยรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชน ยืนยันว่าคนเก่าที่เคยตอบแล้วก็ตอบได้ ตอบคำถามเก่า หรือคำถามใหม่ก็ได้ จะตอบกี่ครั้งก็ได้ ไม่ใช่ครั้งเดียว การให้เขาบันทึกไว้เพื่อที่จะแยกข้อมูลได้ถูก เมื่อมีความคิดเห็นใหม่ๆก็สามารถเติมลงไปได้ จะมา 10 ครั้งก็ได้ เพียงแต่ไม่ได้ไปเกณฑ์มา ขอร้องอย่าไปเชื่อคำบิดเบือนว่าเอาบัตรประชาชนไปใช้ประโยชน์ ถ้ากลัวก็เซ็นทับลงไป อย่าปล่อยให้มีการบิดเบือน ไม่ว่าจะเรื่องพร้อมเพย์ และการต่างประเทศ
กรธ.–กกต.แจงวิธีคำนวณหา ส.ส.
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 11.30 น. ที่รัฐสภา นายนรชิต สิงหเสนี โฆษกกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) พร้อมด้วยนางสมิหรา เหล็กพรหม รอง ผอ.สำนักบริหารการเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติ และ น.ส.สง่า ทาทอง ผอ.ฝ่ายบริหารการเลือกตั้งและการออกเสียงประชามติ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงความคืบหน้าการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ในส่วนของหลักการคำนวณวิธีคิดค่าเฉลี่ยของ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นางสมิหรากล่าวว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 กำหนดให้มี ส.ส. 500 คน แบ่งเป็น แบบเขตเลือกตั้ง 350 คน และ แบบบัญชีรายชื่อ 150 คน โดยจะใช้วิธีการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว สำหรับหลักเกณฑ์การคิดคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อจะมีด้วยกันสองรูปแบบแล้วแต่กรณี ได้แก่ 1.กรณี กกต.ประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส.ครบ 350 เขต และ 2.กรณี กกต.ประกาศผลไม่น้อยกว่า 95%
ส.ส.เขตเต็มเพดานชวดปาร์ตี้ลิสต์
นางสมิหรากล่าวว่า กรณี กกต.ประกาศผลครบ 350 เขต จะมีวิธีคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมือง คือ นำคะแนนเฉพาะของพรรคที่ส่งแบบบัญชีรายชื่อเท่านั้นมาใช้ในการคำนวณ พรรคใดที่ไม่ส่ง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อจะไม่นำมาคำนวณ และนำผลรวมคะแนนของทุกพรรค การเมืองมาหารด้วย 500 เพื่อให้ได้ค่าเฉลี่ยต่อ ส.ส. 1 คน แล้วหาจำนวน ส.ส.ที่แต่ละพรรคจะพึงมี โดยนำค่าเฉลี่ยต่อ ส.ส. 1 คน ไปหารคะแนนของพรรคการเมืองแต่ละพรรค จะทำให้ได้จำนวน ส.ส.ที่แต่ละพรรคจะได้ ทั้งนี้ หากพรรคใดได้ ส.ส.แบบแบ่งเขตน้อยกว่าจำนวน ส.ส.ที่พรรคการเมืองพึงมีได้ ให้จัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มเติมให้ตามที่ยังขาดอยู่ แต่หากพรรคการเมืองได้ ส.ส.แบบแบ่งเขตมากกว่าหรือเท่ากับจำนวน ส.ส.ที่จะพึงมีได้ ไม่ต้องจัดสรร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อให้กับพรรคการเมืองนั้น กรณีที่มีจำนวน ส.ส.แบ่งเขตมากกว่าจำนวนที่พึงมีได้ หรือโอเวอร์แฮงค์ เช่น พรรค ค.ได้ ส.ส.ที่พึงมี 4 คน แต่ได้ ส.ส.ระบบแบ่งเขต 5 คน มีโอเวอร์แฮงค์ 1 คน ในกรณีนี้รัฐธรรมนูญกำหนดว่าเมื่อได้ ส.ส.แบบแบ่งเขตเท่าไรก็ได้เท่านั้น แต่จะไม่ได้ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ สำหรับเศษเกินจะนำมาจัดลำดับเปรียบเทียบกับพรรคการเมืองเพื่อคำนวณหาจำนวน ส.ส.ต่อไป
โอกาสมีรัฐบาลพรรคเดียวยาก
นางสมิหรากล่าวว่า ส่วนกรณียังไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้งได้ทั้งหมด แต่ กกต.ประกาศผลไม่น้อยกว่า 95% ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าจะต้องประกาศให้ได้ 95% จากจำนวน ส.ส.ทั้งหมด 500 คน คือ 475 คน แบ่งเป็น ส.ส.เขต 333 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 142 คน ถึงจะสามารถเปิดประชุมสภาได้ วิธีการคำนวณจะเหมือนกรณีปกติ แต่จะคิดจากฐานของการรับรองผลการเลือกตั้งที่ 95% เช่น คะแนนของทุกพรรคการเมืองทั่วประเทศที่ 95% มีจำนวน 28,090,848 คะแนน จะนำคะแนนนี้ มาหาร 475 จากนั้นจะได้ตัวเลข 59,138.6274 ซึ่งคะแนนเฉลี่ยต่อ ส.ส. 1 คน จากนั้นเป็นการหาจำนวน ส.ส.ที่แต่ละพรรคจะพึงมี เมื่อถามว่า การคำนวณคะแนนการเลือกตั้งเช่นนี้ จะทำให้พรรค การเมืองไม่มีโอกาสได้ที่นั่ง ส.ส.เกิน 50% หรือมากกว่า 250 คน ใช่หรือไม่ น.ส.สง่าตอบว่า คงจะเป็นไปได้ยาก เพราะการนำคะแนนของ ส.ส.ระบบแบ่งเขตเลือกตั้งมาใช้คำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะทำให้เขตเลือกตั้งหนึ่งมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีจำนวนเฉลี่ยประมาณ 1.8 แสนคน ดังนั้นการที่จะมี พรรคการเมืองใดได้คะแนนโดดไปถึง 250 ที่นั่งก็คงเป็นเรื่องยาก
ยันพรรคการเมืองยังทำกิจกรรมไม่ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th ได้เผยแพร่หนังสือของ กกต.ที่ตอบกลับคำถามของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทยต่อกรณีขอความชัดเจนในการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง โดย กกต.ได้ตอบ ยืนยันว่า การปฏิบัติของพรรคการเมืองที่มีกรอบเวลากำหนดตามมาตรา 141 เช่น การยื่นเปลี่ยนแปลงสมาชิกพรรค การจัดให้มีทุนประเดิม 1 ล้านบาท การประชุมเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับพรรค จัดทำประกาศอุดมการณ์ทางการเมือง ถือเป็นการดำเนินกิจการในทางการเมือง จึงต้องห้ามมิให้ดำเนินการ เมื่อประกาศ คสช.ฉบับที่ 57/2557 ยังใช้บังคับอยู่ จึงยังไม่อาจดำเนินการได้
มท.เล็งชงเลือกตั้งท้องถิ่น อบจ.ก่อน
ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) บรรยายพิเศษเรื่อง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการบริการสาธารณะ ในโครงการอบรมสัมมนา เรื่อง “บทบาทองค์การบริหารส่วนจังหวัดในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ” โดยมีคณะผู้บริหาร ประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ข้าราชการ และพนักงาน อบจ.ทั่วประเทศ เข้าร่วมโดยมีการซักถามถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นจะเลือกตั้งเมื่อไหร่ พร้อมกันทุกรูปแบบหรือไม่ อธิบดี สถ.จึงชี้แจงว่า รัฐบาลมีเจตนารมณ์ที่จะเลือกตั้งท้องถิ่นโดยเร็ว แต่ต้องแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 6 ฉบับก่อน โดยคาดว่าใช้เวลาประมาณ 3 เดือน ตามที่ได้คาดการณ์ในที่ประชุมเมื่อวันที่ 16 พ.ย. ที่มีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ เป็นประธาน ส่วนการเลือกตั้งน่าเกิดขึ้นได้ 4-6 เดือนข้างหน้า โดยกระทรวงมหาดไทย เสนอให้เลือกตั้ง อบจ.ก่อน แต่อยู่ที่ คสช.ตัดสินใจ
“ณัฐวุฒิ”ชี้เกมประวิงเวลาเลือกตั้ง
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.ประกาศกรอบเวลาเลือกตั้งเดือน พ.ย.61 ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องควรจะนิ่งและชัดเจนขึ้นตามลำดับ แต่กลายเป็นว่า หลังประกาศโรดแม็ปกลับมีปัจจัยต่างๆออกมา อยู่ๆก็งานงอก บอกว่าต้องแก้กฎหมายท้องถิ่น 6 ฉบับ เพื่อเลือกตั้งท้องถิ่นก่อน ทั้งที่ในรัฐธรรมนูญไม่ได้วางเรื่องนี้เป็นเงื่อนเวลาว่าต้องอะไรก่อนหลัง จะอ้างเรื่องความสงบก็ไม่มีเหตุผล มองแล้วไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าการดึงเกม เพื่อทดเวลาเลือกตั้งใหญ่ออกไปใช่หรือไม่ ที่น่าใจหายคือ ท่าทีของเนติบริกรซึ่งแสดงตัวเหมือนนักกฎหมายไม้เลื้อย ช่วยอธิบายสิ่งเหล่านี้ให้ดูเหมือนเรื่องธรรมดา เช่น ถ้าพรรคการเมืองทำงานไม่ทันให้แก้กฎหมาย หรือหากยังไม่ปลดล็อกนักการเมืองสามารถพบกันทำอะไรกันไปก่อนได้ ทั้งนี้ พรรค การเมืองที่จะลงเลือกตั้งต้องสง่างาม ขับเคลื่อนโดยเปิดเผย ไม่ใช่ลักลอบทำอะไรกันจนกว่าจะปลดล็อก ให้ บ้านเมืองจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างไรในเมื่อไม่มี หลักประกันอะไรเลยแม้แต่การบังคับใช้กฎหมาย
ศาลฎีกาเลือก “ฉัตรไชย” เป็น กกต.
เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ศาลฎีกา นายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา เรียกประชุมใหญ่ศาลฎีกา ผู้พิพากษา 176 คน เพื่อประชุมลงมติเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จำนวน 2 คน ขณะที่ผลการลงมติปรากฏว่า นายฉัตรไชย จันทร์พรายศรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เป็นผู้สมัครเพียงคนเดียวที่ได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นสมควรได้รับแต่งตั้งเป็น กกต. แต่เนื่องจากการลงมติเลือกนั้นยังขาดผู้สมควรได้รับการแต่งตั้งเป็น กกต. อีก 1 คน ตามสัดส่วนที่ให้ที่ประชุมศาลฎีกาเลือกขึ้นมา 2 คน โดยผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อรายอื่นยังไม่ผ่านเกณฑ์ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ดังนั้นจึงต้องเริ่มกระบวนการเปิดรับสมัครผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็น กกต.อีกครั้ง พร้อมตรวจสอบคุณสมบัติตามเกณฑ์ หลังจากนั้นจึงจะกำหนดนัดประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพื่อลงมติเลือกผู้สมัครใหม่จำนวนที่ยังขาดอีก 1 คน
“บิ๊กตู่” ยันกำลังง่วนแก้ปัญหายาง
เมื่อเวลา 15.35 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาราคายางพาราว่า รัฐบาลพยายามอย่างยิ่งในการแก้ปัญหาพืชหลัก 5 ชนิด ซึ่งต้องแก้หลายอย่าง เพราะโลกกำลังมุ่งสู่เศรษฐกิจเดียว โดยจะผูกว่ากลุ่มอยู่กับกลุ่มนี้ ไม่ใช่ว่าเราจะกำหนดราคาและกติกาเอง มันเป็นไปไม่ได้ ต้องอ้างอิงตามตลาดโลก ทุกประเทศคำนึงถึงความมั่นคงทางอาหาร ภัยพิบัติ ไม่สามารถที่จะปลูกพืชของเขาเองได้ เขาต้องเก็บสต๊อกไว้ ทำให้การซื้อจากต่างประเทศลดลง รวมถึงเหตุผลด้านความขัดแย้ง และราคาน้ำมัน ซึ่งผูกพันกันหมด และราคาตลาดยางก็ใกล้เคียงกันหมด ทั้งเซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย เราจะไปขึ้นราคาได้มากกว่าเขาอย่างไร ดังนั้น เราจึงต้องมาปรับที่ต้นทางว่าจะทำอย่างไร แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ปลูก แต่ต้องทำอาชีพเสริม หากปลูกพืชเชิงเดี่ยวอย่างเดียวอันตรายที่สุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานไว้ให้อยู่แล้ว ทั้งเกษตรทฤษฎีใหม่ ไร่นาส่วนผสม เพียงแต่ว่าเราอย่าไปทำให้ประชาชนไม่เข้าใจได้หรือไม่ ขอฝากสื่อด้วย ลองไปถามคนที่ว่ารัฐบาล เอาที่เขาพูดถามเขากลับไปให้ตนได้หรือไม่ ว่าที่ผ่านมาทำอย่างไร แล้ววันนี้สถานการณ์เหมือนกันหรือไม่
ย้ำความจำเป็นปลูกพืชอื่นทดแทน
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า วันนี้ 2 ประเทศที่เขาผลิตยางพารา เมื่อก่อนมีปัญหา แต่วันนี้เขาไม่มี เพราะหันไปปลูกปาล์ม พอผลิตมากๆ ก็เริ่มมีปัญหาตามมาอีก หลายประเทศก็กีดกันราคา ทำให้ราคาตก แล้วประเทศไทยจะทำให้ราคาสูงโดดขึ้นไปเพียงประเทศเดียวได้หรือไม่ ก็ต้องมาหาวิธีแก้ เรามาแก้ที่ตัวเองกันได้ไหม ให้รัฐบาลคิดอย่างเดียวไปกันไม่ได้หรอก แล้วไม่ใช่แก้ปัญหาไม่พอเอาเงินไป แล้วเมื่อไหร่จะพอ ก็ต้องอยู่ที่เดิม มันเปลี่ยนแปลงประเทศไม่ได้ เข้าใจหรือไม่ ในวันหน้ามันตกต่ำไปเรื่อยๆ แล้วคนออกนอกกระบวนการผลิตทางการเกษตร แล้วใครจะปลูกข้าวให้เรากิน แต่ให้เป็นการปลูกข้าวที่ต้นทุนถูกกว่าเดิมได้หรือไม่ ตนกำลังจี้เรื่องเหล่านี้อยู่ทั้งหมด การปลูกยางอาจต้องตัดบางส่วนออก ทุกคนมุ่งขายหมดก็ต้องหาพืชชนิดอื่นเสริม บางประเทศเขาสั่งลดกรีดยาง ทุกประเทศเขาทำ เขากรีดยางเป็นหน้าๆ เขาสั่งได้ ตนสั่งหรือยัง แล้วทุกคนไปบอกว่าประเทศไทยจำกัดเสรีภาพ ตนไปจำกัดเสรีภาพใครอยากจะรู้นัก หลายคนบิดเบือน สื่อตนก็ให้ถามอยู่ เป็นคนอื่นเขายอมให้ถามอย่างนี้ไหม
เบรกขนคนเข้ากรุงประท้วง
ต่อมาเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ว่า ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ เราจำเป็นต้องเข้าใจในภาพรวม เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาไปในแนวทางที่จะร่วมมือกันได้ อยากให้ทุกฝ่ายเข้าใจห่วงโซ่ของยางพาราไทย มีความเข้าใจที่ตรงกัน ขอให้ทุกคนได้อดทน เปลี่ยนแปลง ไว้ใจซึ่งกันและกัน แล้วมีหลักการและเหตุผลไม่ว่าจะประท้วง หรือยื่นหนังสืออะไรต่างๆก็ตาม ขอให้ยื่นอย่างสงบ ไม่อยากให้มีการนำเกษตรกรเข้ามาที่กรุงเทพฯ ถ้าต้องมายื่นกับนายกฯ มาคนเดียว หรือยื่นในพื้นที่แล้วเขาก็ส่งถึงตนอยู่ดี มาเสียเวลาการทำมาหากินเปล่าๆ สิ้นเปลืองด้วย ไม่อยากเป็นเรื่องการเมือง ถ้าทุกคนทำสวนยาง เมื่อยางราคาไม่ดี คุณภาพชีวิตก็ไม่ดี เพราะรายได้มีแต่ยางอย่างเดียว ต้องคิดใหม่ แก้ปัญหาร่วมกัน
รบ.ยันไม่ได้ข่มขู่แกนนำยาง
พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ ระบุแกนนำชาวสวนยางภาคใต้ถูกทหารเชิญตัวเข้าค่ายเพื่อไม่ให้เรียกร้องรัฐบาลแก้ปัญหาราคายางว่า รัฐบาลไม่เคยห้ามแสดงความคิดเห็น มีกลไกรับฟังในพื้นที่อยู่ และมีช่องทางสื่อมวลชนที่แกนนำสะท้อนความต้องการถึงรัฐบาลเป็นรายวัน แต่เหตุใดพยายามเดินขบวนเข้า กทม. การอ้างว่ารัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ อยากให้เสนอมาว่าจะทำอย่างไร จะได้หารือด้วยเหตุผล โดยไม่นำความเดือดร้อนมาสร้างประเด็นทางการเมือง นายกฯย้ำว่ารัฐบาลยินดีรับฟังข้อเสนอ แต่อยากให้นำเสนอข้อเรียกร้องด้วยวิธีสร้างสรรค์ ไม่ควรเดินขบวนหรือชุมนุม ส่วนการเชิญแกนนำไปค่ายทหารยืนยันเป็นการพูดคุยทำความเข้าใจ ไม่ใช่การข่มขู่หรือทำร้าย
ปชป.วอนอย่าซุกปัญหาใต้พรม
ด้านนางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วิธีการใช้ทหารเอาเข้าค่ายไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้อง ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ทำให้ภาพลักษณ์รัฐบาลเสียหาย เพราะทุกคนที่พบปะหารือในพื้นที่ไม่ใช่คนมีอำนาจแก้ไขปัญหา ถ้ารัฐบาลจริงใจ ก็ขอให้เชิญแกนนำเกษตรกรเข้าหารือที่กระทรวงเพื่อฟังความคิดเห็นอย่างแท้จริง ที่ผ่านมาอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ร่วม 20 คนเป็นตัวแทนประชาชนยื่นหนังสือวิธีการแก้ปัญหายางตกต่ำต่อนายกฯแล้ว แต่ผ่านมาหนึ่งปีก็ยังไม่ขยับ หากเป็นเช่นนี้ควรยอมรับกับพี่น้องเกษตรกรตามตรงว่า รัฐบาลขาดศักยภาพในการแก้ปัญหาราคาพืชผลการเกษตร อย่ากลบเกลื่อนซุกปัญหาไว้ใต้พรมเลย มันไม่สร้างสรรค์
จวก รมต.จ้องรับแต่ดอกไม้
ขณะที่นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จำเป็นต้องชี้แจงข้อเท็จจริง เพื่อให้รัฐบาลมองความจริงอีกด้านหนึ่ง ไม่ใช่นั่งรับรายงานอยู่แต่ในทำเนียบรัฐบาล จนนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะนายสำรอง เพชรทอง เป็นเพียงตัวแทนชาวสวนยางจาก อ.ป่าบอน จ.พัทลุง ที่จะไปยื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำที่กระทรวงเกษตรฯ มิใช่ไปเดินขบวนประท้วงรัฐบาลที่กรุงเทพฯ การที่มีพลเอกบางคนสั่งการให้ทหารไปควบคุมตัวแกนนำ ที่ จ.พัทลุง และ จ.ตรัง ไปไว้ที่ค่ายทหารและยึดโทรศัพท์มือถือ และรัฐมนตรีที่ไม่กล้ารับจดหมายร้องเรียนจากเกษตรกร ต้องการรับแต่ช่อดอกไม้นั้น รัฐมนตรีแบบนี้ไม่ควรมีอยู่ในรัฐบาลประยุทธ์ ถ้าถูกปรับย้ายไปอยู่กระทรวงใด ข้าราชการกระทรวงนั้นก็ต้องระวังตัวให้ดี
สปน.ยกเครื่องสนองนโยบาย 4.0
นางพัชราภรณ์ อินทรียงค์ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ต้องปรับกระบวนทัศน์การทำงานให้สอดรับกับนโยบายทุกมิติ โดยเปลี่ยนกลยุทธ์การทำงานเป็นเชิงรุกมากขึ้น น้อมนำศาสตร์พระราชาและวิถีการทรงงานในพื้นที่ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาปรับใช้ เปิดช่องทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นขับเคลื่อนงาน รวมทั้งเล็งเห็นว่ารัฐบาลได้จัดทำโครงการเน็ตประชารัฐ สปน.จึงปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การทำงานนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารสาธารณะตามสิทธิขั้นพื้นฐาน และยังเป็นช่องทางให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบความโปร่งใสในทำงานตามโครงการต่างๆด้วย
ปิดฉากตลาดคลองผดุงกำไร 2 พัน ล.
ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.เรณู ตังคจิวางกูร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตลาดคลองผดุงกรุงเกษมจะปิดถาวรในสิ้นปีนี้โดยตลอด 3 ปี สร้างรายได้เกือบ 2 พันล้านบาท ก่อนปิดตลาดสิ้นปีนี้ วันที่ 5-7 ธ.ค.นี้ จะจัดให้เป็นตลาดประชารัฐ จะเป็นโมเดลรูปแบบตลาดประชารัฐขยายไปทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมตลาดใกล้บ้านสะดวกต่อการเดินทางของประชาชน ไม่ได้แค่จำหน่ายสินค้าเท่านั้น จะมีกิจกรรมความบันเทิงต่างๆควบคู่ไปด้วย จากนั้นวันที่ 12-27 ธ.ค. กระทรวงมหาดไทยจะเป็นเจ้าภาพตลาดคลองผดุงฯนัดสุดท้าย ที่จะมีการจำหน่ายเป็นสินค้าของขวัญปีใหม่ ของดี ของขวัญประทับใจ จากตลาดคลองผดุงฯ
นายกฯชี้ช่วยข้างบนฉุดคนข้างล่าง
เมื่อเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช. กล่าวในรายการศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนว่า สิ่งที่รัฐบาลจะเร่งรัดให้เกิดความเชื่อมโยงระบบออนไลน์ของเรา อาทิ โครงการเน็ตประชารัฐ กับระบบเครือข่ายระหว่างประเทศ สิ่งสำคัญคือความสามารถในการปรับตัว ปรับกลยุทธ์ ให้สอดคล้องกับระบบใหม่ๆ เราต้องช่วยกันทุกคนจะได้รับประโยชน์สูงสุด ไม่อย่างนั้นบางคนก็บอกว่าไปอยู่ที่คนมีรายได้มาก อยู่ที่นักลงทุน แต่อย่าลืมว่าคนของเราอยู่ในห่วงโซ่ ถ้าห่วงโซ่ใหญ่เกิดไม่ได้ เล็กๆจะได้ประโยชน์ได้อย่างไร ที่ผ่านมา เรามักจะไปส่งเสริมข้างล่างอย่างเดียว อาจจะด้วยในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตย ไปดูคนรายได้น้อย อย่าลืมว่าต้องส่งเสริมคนข้างบนด้วย เอาทุกคนมาอยู่ในกติกาเดียวกัน ดูแลคนรายได้น้อยให้มากขึ้น ให้เขาได้ประโยชน์อย่างแท้จริง โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนจากเขา นั่นคือสิ่งที่เราต้อง ช่วยกัน
บริหารจัดการน้ำพร้อมทางสัญจร
นายกฯกล่าวว่า สำหรับการบริหารจัดการน้ำ ต้องยอมรับร่วมกันว่า ปีนี้ปริมาณน้ำมีค่อนข้างมาก รัฐบาลได้วางแผนให้มีการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ เพื่อให้พื้นที่ต่างๆสามารถรองรับภัยพิบัติได้ดีขึ้น จะมีการลงทุนวางระบบทั้งด้านชลประทาน และระบบขนส่งให้สอดคล้องกัน การสัญจรไปมา ถนนหนทางต่างๆ เส้นทางใดที่กีดขวางทางน้ำธรรมชาติ ต้องแก้ไขทั้งหมด มีเป็น 100 แห่ง ต้องใช้เวลา งบประมาณก็มาก แต่ต้องทำเพื่อให้การสัญจรของพี่น้องประชาชนสะดวก สิ่งที่รัฐบาลกำลังคิดอยู่คือการสร้างคลองส่งน้ำ หรือทำช่องทางระบายน้ำไปพร้อมๆกับการสร้างถนน-ทางรถไฟ บางครั้งเราต้องเวนคืนพื้นที่เพิ่มเติม อาจต้องทำทั้งสองอย่าง คือเรื่องน้ำ เรื่องถนน เป็นไปได้ไหมที่จะทำถนนและทางระบายน้ำหรือคลองส่งน้ำไปด้วย โดยเวนคืนพื้นที่เส้นทางเดียวจะได้เดือดร้อนน้อยลง เรื่องการระบายน้ำในพื้นที่ภาคกลาง โดยเฉพาะแก้มลิงซึ่งยังมีน้ำท่วมขังได้สั่งการให้กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงมหาดไทย คสช. กองทัพช่วยกันว่าจะจูงน้ำออกไปได้อย่างไร อาจจะทำคูคลองให้เหมือนรังผึ้ง แบบเตาขนมครกเล็กๆ แต่ต้องเก็บน้ำให้ได้ด้วย ไม่ใช่ทำโครงการใหญ่อย่างเดียว เรื่องเล็กก็ต้องทำด้วย