หลังจากปฏิบัติการปฏิวัติ 19 กันยายน ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนถึงปัจจุบันนับเป็นเวลา 4 ปีแล้ว เราลองไปสอบถามบรรดาบิ๊ก คมช. เหล่านั้นดูสิว่า ในปัจจุบันแต่ละคนใช้เวลาในยามว่างทำอะไรกันอยู่ และมีมุมมองต่อการเมืองไทยในปัจจุบันโดยเฉพาะเรื่องการปรองดองกันอย่างไร...

โดย พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และอดีตผู้ช่วยเลขาธิการ คมช. เปิดเผยกับ"ไทยรัฐออนไลน์" ถึงการดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ว่า ณ ขณะนี้กำลังใช้เวลาว่างส่วนใหญ่ไปกับการให้รางวัลชีวิต โดยการศึกษาธรรมะ และทำกิจกรรมเกี่ยวกับการสนทนาธรรมะ  ที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ของ อ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เพื่อให้เข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา เพื่อนำไปปรับใช้ในการทำให้ชีวิตมีคุณค่ายิ่งขึ้น และเป็นชีวิตที่สังคมไทยปัจจุบันต้องการ


แต่อย่างไรก็ดี พล.อ.สพรั่ง ยืนยันว่า ตนเองยังคงเป็นข้าราชการบำนาญที่มีความรักและห่วงใยในประเทศชาติรวมทั้งอยากให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยและมีความเข้มแข็ง  และก็ไม่ได้ห่วงใยบ้านเมืองในแบบชาวบ้านแต่ห่วงเพราะเห็นปัญหา เพราะรู้ว่าปัญหาจะแก้ได้ก็ด้วยความเป็นคนดี  และยังคงติดตามข่าวสารของบ้านเมือง และยังคงอาศัยอยู่ในประเทศไทยมาโดยตลอด

ส่วนจะมีข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในสังคมไทยอย่างไร บ้างนั้น พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า อยากให้แต่ละบุคคลมองในส่วนของตัวเองว่ามีปัญหาในส่วนใด แล้วก็เริ่มแก้ไขปัญหาของตัวเองไปก่อน เพราะสิ่งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้ดีที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีของตนเองที่เคยเป็นอดีตทหาร นั้น ก็จะมองในส่วนขององค์กรของตัวเองว่าการปรับปรุงให้องค์กรของตนเองดีขึ้น นั้น ควรจะทำอย่างไร

และหากมองในมุมกลับกัน ก็ควรที่จะไปถามประชาชนว่า ประชาชนต้องการอะไร ต้องการกองทัพอย่างไร ต้องการทหารอย่างไร ซึ่งเชื่อแน่เหลือเกินว่า ประชาชนทั่วไปที่ไม่ใช่ประชาชนจัดตั้ง ก็จะตอบได้ทันทีว่า อยากได้ทหารที่เข้มแข็ง อยากได้ตำรวจที่เข้มแข็ง อยากได้นักการเมืองที่ดี อยากได้สื่อมวลชนที่เป็นสื่อมวลชน ถ้าทุกคนไม่ทำความดีในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบ ก็คงสูญเปล่า ซึ่งหากทุกคนทำได้ดังนี้ตนเองก็มีความเชื่อมั่นว่าปัญหาทุกอย่างจากหนักก็จะกลายเป็นเบา

...


ด้านชีวิตหลังจากพ้นบทบาทในส่วนของทั้งกองทัพและคมช. รู้สึกอย่างไร นั้น พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า ความรู้สึกก็เหมือนกำลังแบกของหนัก เมื่อถึงเวลาที่เค้าบอกว่าหมดเวลาแล้ว เราก็ต้องโล่ง แต่ไม่ใช่โล่งแบบคนที่ผลักภาระไปให้คนอื่น เพราะนักมวยต้องปฏิบัติตามกติกา เมื่อเค้าบอกว่า 5 ยก ก็ต้อง 5 ยก จะไปชกต่อได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าหมดเวลาเลิกชก ยังไปชกกรรมการต่อ ลงมายังไปท้าคนอื่นชกอีก

ด้านจะมีโอกาสกลับมาทำงานเพื่อประเทศชาติในฐานะนักการเมืองหรือไม่ นั้น อดีตผู้ช่วยเลขาธิการ คมช. กล่าวว่า ขอไม่ตอบในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจะดีกว่า ถ้ายังไม่เกิดไม่พูด ถ้าเกิดแล้วเมื่อถามก็จะบอก

ท้ายที่สุด พล.อ.สพรั่ง กล่าวว่า อยากขอฝากไว้นิดหนึ่งว่าบ้านเมืองเป็นของเราทุกคน และตนเองก็ไม่เคยเรียกร้องให้ใครมาช่่วย แต่หากมีใครมาถามว่าอยากให้บ้านเมืองอยู่รอดได้อย่างไร ก็จะตอบไปว่า อย่าหวังที่คนนั้น หวังที่ตัวเราก่อน เราต้องทำหน้าที่ของตนเอง แต่ถ้าโชคดีว่าคนที่เค้าเป็นใหญ่กว่าเราทำหน้าที่เข้มแข็งก็เป็นบุญของประเทศ และอยากให้คนไทยช่วยกันคนละไม้คนละมือ เมื่อไม่ทำความดีก็อย่าทำความชั่ว และช่วยกันทำให้คนดีมีกำลังใจ

ด้าน พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ อดีต ผบ.ทร. และ สมาชิก คมช. เปิดเผย ไทยรัฐออนไลน์ ว่า ณ ปัจจุบัน ชีวิตยามว่างของตนเอง ส่วนใหญ่หมดไปกับการอ่านหนังสือ หาความรู้ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับวิชาการที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ หนังสือพระ และหนังสือธรรมะ ส่วนการทำงานในปัจจุบัน นั้น ก็ทำอยู่หลายอย่าง เช่น การซื้อขายหุ้น เพราะตนเองมีความสนใจ และช่วยเป็นกรรมการในบริษัทของเพื่อน และช่วยกำกับดูแลบริษัทของลูกชายที่ทำเกี่ยวกับด้านโทรทัศน์ รวมทั้งดูแลเพื่อนทหารเรือที่จบมาด้วยกัน ด้วยการจัดพบปะสังสรรค์งานต่าง ๆ โดยล่าสุดก็พากันไปเที่ยวประเทศเกาหลีมา ส่วนเวลายามว่าง อื่น ๆ ก็มักจะไปออกกำลังกายที่ฟิตเนส เพื่อดูแลร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง


ขณะที่กิจกรรมยามว่างที่ทำกับครอบครัว นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการพาครอบครัวไปรับประทานอาหารนอกบ้าน โดยร้านอาหารโปรดที่ชอบไปก็มักจะเป็นร้านอาหารต่างชาติโดยเฉพาะอาหารยุโรป ตามโรงแรมต่าง ๆ เพราะสะดวกดี

ส่วนได้พบปะกับเหล่าอดีต คมช.ด้วยกันหรือไม่ อดีต ผบ.ทร. กล่าวว่า ก็มีอยู่บ้างส่วนใหญ่จะเป็นการออกรอบไปตีกอล์ฟ โดยเพื่อนร่วมก๊วนที่ตีด้วยกันบ่อย ๆ ก็คือ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ และ  พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ส่วนในโอกาสอื่น ๆ ก็จะเป็นการร่วมประชุมในฐานะที่เป็นกรรมการอยู่ในมูลนิธิต่าง ๆ บ้าง

ด้านชีวิตหลังจากพ้นบทบาทในส่วนของทั้งกองทัพและคมช. รู้สึกอย่างไร นั้น พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ กล่าวว่า ก็รู้สึกปลอดโปร่งแน่ เพราะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแล้ว แต่จริง ๆ ลึก ๆ ก็ยังมีความเป็นห่วงบ้านเมือง เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นกับบ้านเมืองยังไม่ยอมจบซะที ทั้งที่ในความเป็นจริงมันก็น่าจะดีกว่านี้ได้

ส่วนมีข้อเสนออย่างไร ที่คิดว่าน่าจะสามารถนำพาประเทศไปสู่ความปรองดองได้ นั้น อดีตสมาชิก คมช.กล่าวว่า อยากให้ทุกคนลดทิฐิ และนึกถึงหลักของพระพุทธศาสนาว่า ตายไปแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้เพราะฉะนั้น ก็ควรจะลดทิฐิทั้งหลาย กันลงไปบ้าง ซึ่งถ้าทุกคนคิดเหมือนกันว่าทุกอย่างไม่ใช่ของเรา ตนเชื่อว่าจะคุยกันง่ายขึ้น ส่วนมีอะไรอยากจะเสนอกับรัฐบาลบ้างหรือไม่นั้น พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ กล่าวว่า รัฐบาลก็เหมือนพ่อแม่ ประชาชนก็เหมือนเป็นลูกเพราะฉะนั้นพ่อแม่ปกครองลูกอย่างไรรัฐบาลก็ควรทำในแบบเดียวกัน


ด้านในอนาคต จะกลับมาทำงานด้านการเมืองหรือไม่ นั้น พล.ร.อ.สถิรพันธุ์  กล่าวว่า งั้นตนเองก็คงต้องถามกลับว่า คุณคิดว่าผมเหมาะสมหรือไม่ เพราะว่าที่ผ่านก็เคยคุยกันในหมู่เพื่อนเหมือนกันว่า พวกเรานี่เป็นทหาร ทหารนี่ตรงไปตรงมา พูด Yes ก็ Yes   NO  ก็  NO ไม่พูดอ้อมค้อม หากจะไปทำงานด้านการเมือง คงไม่ใช่วิสัยของทหาร อีกทั้งตนเองก็คงจะทำไม่ได้ และที่ผ่านมาเองก็ไม่เคยได้รับการทาบทามจากฝ่ายการเมืองเช่นกัน

ท้ายที่สุด   พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ ได้ฝากว่า อยากให้ทุกคนมีความจริงใจต่อกัน พูดอย่างไรต้องทำอย่างนั้น โดยเฉพาะเรื่องการสร้างความปรองดองในชาติ และไม่ควรที่จะต่อล้อต่อเถียงกัน เพราะมันจะไม่เกิดอะไรขึ้นมา โดยเฉพาะนักการเมืองเองก็ควรจะลงมือทำในสิ่งที่ถูกที่ควรมากกว่าพูด เพราะประชาชนทุกคนก็คงเบื่อที่จะฟังเต็มทีแล้ว

ด้าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช.  เปิดเผยกับ ไทยรัฐออนไลน์ ถึงชีวิตในปัจจุบันว่า งานหลักตอนนี้คือการเขียนหนังสือ และเรียนปริญญาเอกด้านสาขารัฐศาสตร์การเมือง ที่ ม.รามคำแหง  เพื่อชดเชยในส่วนที่ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีเวลาเรื่องการเรียนเท่าไหร่

โดยหนังสือที่ตนเองกำลังเขียนอยู่ นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิทยาทานให้กับสังคม โดยอ้างอิงจากปรัชญาด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้อ่านนำไปเป็นข้อคิดในการปฏิบัติตัว ทั้งนี้ หนังสือที่เขียน นั้น จะมีทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกิจการต่างประเทศ โดยอาศัยประสบการณ์ที่ตนไปทำงานด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ เช่น กัมพูชา ลาว พม่า มาเลเซีย อินโดนีเซีย


ทั้งนี้ หนังสือของตนเองที่ได้รับความสนใจมากที่สุดโดยเฉพาะในต่างประเทศก็คือ หนังสือที่มีชื่อว่า THE TRUTH  ซึ่งจะมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ 19 ก.ย. เพราะชาวตะวันตกมีความสนใจมากกว่า เพราะเหตุใดการปฏิวัติดังกล่าว จึงเป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่มีความขัดแย้งไม่มีการต่อต้าน และแถมยังได้รับดอกไม้จากประชาชน  ซึ่งตนจะได้บรรยายถึงเทคนิคและ แท็คติกต่าง ๆ ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยตนเองจะพยายามเร่งให้หนังสือเล่มดังกล่าว เสร็จทันจำหน่ายให้ได้ภายในปีนี้

ด้านชีวิตยามว่าง ในเวลานี้ นอกจากการเรียนหนังสือและการเขียนหนังสือ ก็คือการเล่นกีฬา แต่เปลี่ยนจากเตะฟุตบอลที่โปรดปรานไปเป็นการ ตีเทนนิส และ ตีกอล์ฟ แทน ส่วนมีแผนจะไปตั้งทีมฟุตบอลเหมือน นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย หรือไม่นั้น พล.อ.สนธิ กล่าวว่า คงไม่ เพราะต้องใช้งบประมาณสูง แต่อย่างไรก็ดี ตนเองก็ไปเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมฟุตบอลเล็ก ตามต่างจังหวัดอยู่บ้าง อีกส่วนหนึ่งก็คือการดูภาพยนตร์ และซีรีย์ต่างประเทศ โดยมีเรื่องโปรดคือ เรื่อง 24 HOURS  ที่ตนเองชื่นชอบเป็นพิเศษ รวมทั้งการติดตามดูสารคดีต่าง ๆ จากช่องทรูวิชั่น

ส่วนร้านอาหารโปรดที่มักจะพาครอบครัวไปรับประทาน นั้น ก็จะมีทั้ง กุ้งเผา ที่ วัดตาชู จ.สิงห์บุรี บางทีก็เปลี่ยนบรรยากาศไปรับประทานอาหารจีน ที่ร้านไชน่าเพลส ถนนปาล์ม หรือบางทีอยากรับประทานอาหารไทย ก็จะไปที่ร้านรถเสบียง บ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะรับประทานอาหารบ้านเป็นหลัก โดยมีเมนูโปรดที่มักจะให้แม่บ้านทำก็คือ น้ำพริกปลาทู แกงจืด แกงส้ม


ด้านการเตรียมการลงเล่นการเมืองในอนาคต อันใกล้นี้ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า คงยังตอบไม่ได้ว่าจะลงเป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ หรือ ส.ส.เขต  แต่คงจะเดินไปตามเจตนารมณ์ ในการนำพาประเทศไปสู่ประชาธิปไตย ซึ่งตนเองก็ได้เริ่มต้นแล้ว โดยการตั้งพรรคมาตุภูมิ ตามอุดมการณ์ของตนเอง ที่ต้องการให้พรรคเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างระบอบประชาธิปไตยให้กับประเทศไทย โดยในขณะนี้ทางพรรคมาตุภูมิ ก็พร้อมสำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นแล้ว 

ด้านมีข้อเสนอเรื่องการนำพาประเทศชาติไปสู่ความปรองดอง หรือไม่นั้น อดีตประธาน คมช. กล่าวว่า เป้าหมายและวิธีการในการปรองดองควรจะมีความชัดเจน ซึ่งทางรัฐบาลและทางคณะกรรมการปรองดองที่รัฐบาลตั้งขึ้นก็ควรจะมีนโยบายที่ชัดเจนในเรื่องนี้ ด้วย และที่สำคัญที่ทางพรรคมาตุภูมิอยากจะนำเสนอมากก็คือ ทุกฝ่ายควรจะมีความจริงใจ มีเป้าหมายวิธีการและวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ต่อการที่จะให้สำเร็จจริง ๆ เพราะทุกอย่างเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติ

ส่วนขณะนี้ มีความเป็นห่วงประเทศในเรื่องใดมากที่สุด นั้น อดีตประธาน คมช.กล่าวว่า โดยส่วนตัวอยากคิดว่า ทำอย่างไรจึงจะให้สังคมไทย กลับมารักกัน ให้อภัยกัน ตั้งใจทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ไม่ใช่ทำงานเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นได้ เชื่อว่า ประเทศชาติจะกลับมาดี เพราะประเทศที่เจริญแล้ว จะไม่ยึดติดกับตัวบุคคล แต่จะยึดติดองค์กร เพราะฉะนั้น เราจึงควรจะทำให้คนไทยเข้าใจคำว่าองค์กรไม่ใช่เข้าใจว่า คนนั้นดีที่สุดคนนี้ดีที่สุด เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็จะเกิดแต่ความขัดแย้ง แต่หากเปลี่ยนจากบุคคลเป็นองค์กรประเทศชาติก็จะสามารถเดินไปข้างหน้าได้

ขณะที่ในอนาคต มีความเป็นไปได้ที่จะร่วมงานกับทางพรรคเพื่อไทย หรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ความจริง การเมือง หรือ นักการเมืองมีวัตถุประสงค์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นคิดว่า ข้างหน้าหากจะทำอย่างไรให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง บ้านเมืองมีความสงบสุข  จะทำอย่างไรทำได้ก็ทำไป แต่อย่างไรก็ตาม ลำพังเพียงตนเองตัดสินใจคนเดียวคงไม่ได้ เพราะทุกอย่างคงต้องฟังความเห็นของคณะกรรมการบริหารพรรคด้วย

ด้านได้พบปะสังสรรค์กับบรรดาเพื่อนอดีต คมช. บ้างหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า ก็เจอกันบ่อย ๆ ในก๊วนตีกอล์ฟ แต่จะหลีกเลี่ยงเรื่องการพูดถึงเรื่องการเมือง ส่วนใหญ่จะเป็นการสนทนาเรื่องงาน และเรื่องสุขภาพโดยเฉพาะเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ

ขณะที่ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และ สมาชิก คมช. เปิดเผยกับไทยรัฐออนไลน์ ว่า ในปัจจุบันทำงานหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม และประธานคณะที่ปรึกษาศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงกระทรวงกลาโหม  ประธานมูลนิธิเพื่อนสันติภาพ ประธานมูลนิธิเกษตรอินทรี ผู้เชี่ยวชาญ ARF ของกระทรวงการต่างประเทศ และงานอื่น ๆ อีกมากมาย

ขณะที่ชีวิตในยามว่างนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการไปออกรอบตีกอล์ฟ อ่านหนังสือ แปลหนังสือ ทำนา และปลูกต้นไม้ เป็นส่วนใหญ่ โดยผลงานที่เกี่ยวกับเขียนหนังสือที่ใกล้จะวางจำหน่าย มี 2 เล่ม ประกอบด้วย เรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ติมอร์ตะวันออก และประสบการณ์ชีวิตของตนเอง ซึ่งคาดว่าคงจะอีกไม่เกิน 3 เดือนก็คงจะแล้วเสร็จ