เฮเก้อ ผิดหวังเล็กน้อย
ในอารมณ์ที่นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง รีบตั้งโต๊ะแถลงข่าวเคลียร์กระแสข่าวลือรัฐบาลจะเพิ่มวงเงินใน “บัตรคนจน” ซื้อสินค้าร้านธงฟ้าเป็น 700–800 บาท
ยืนยันว่าไม่จริง เกิดจากการสื่อสารที่คลาดเคลื่อน
เพราะยังเป็นแค่การศึกษาความเป็นไปได้ จากการที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ มอบหมายให้กระทรวงการคลังพิจารณาหาแนวทางในการเพิ่มวงเงินบัตรคนจน โดยเฉพาะคนต่างจังหวัดที่ไม่ได้ใช้รถเมล์ ขสมก.และรถ บขส.
อาจเพิ่มเป็นเงินใช้จ่ายสินค้าให้แทน ตามแผนที่ตั้งเป้าไว้คือ 500 บาท
ปลัดคลังต้องขอโทษที่ทำให้ชาวบ้านร้านตลาดเข้าใจผิด
กลายเป็นจังหวะสะดุดนิดหน่อย เกือบทำงานกร่อย ท่ามกลางกระแสความคึกคักของโครงการบัตรคนจน ประชาชนจำนวนมากรับรู้ถึงโครงการที่รัฐบาลช่วยเหลือคนจนผู้มีรายได้น้อย
ทีมงาน “นายกฯลุงตู่” กำลังออกหมัดชกได้เข้าเป้า โดนใจชาวบ้าน แต่ข่าวเพิ่มวงเงินเป็น 800 บาท ทำให้คนสับสน นั่นไม่เท่ากับเขี่ยลูกไปเข้าเหลี่ยมของนักการเมืองอาชีพที่จ้องเตะตัดขาโครงการบัตรคนจนอยู่แล้ว รีบตีปี๊บประจานการเพิ่มวงเงินบัตรคนจนของรัฐบาล
อ้างเป็นแผนการให้เงินไหลเข้ากระเป๋าผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ได้ประโยชน์จากบัตรคนจน ได้น้ำได้เนื้อและไวกว่าเดิมขึ้นอีกหลายเท่า
เอาเป็นว่า ยิ่งบัตรคนจนของรัฐบาลชกเข้าเป้าเท่าไหร่
แรงกระแทกกลับ “บิ๊กตู่–สมคิด” ก็จะแรงมากเท่านั้น
ตามรูปการณ์เดิมพันฟื้นคุณภาพชีวิตคนยากคนจนที่พร้อมถูกผูกเงื่อนเป็นปมการเมืองได้ตลอดเวลา ตามเงื่อนไขสถานการณ์ที่นักการเมืองไม่มีทางยอมให้ทีมงาน “ลูงตู่” ตีกินคะแนนได้ง่ายๆ
ที่แน่ๆมันท้าทายอาการ “เปราะบาง” ของ “มืองาน” ในทีมเศรษฐกิจที่ไม่ใช่นักการเมืองอาชีพ
...
ถูกบีบ ถูกกดดันหนักๆ ฝ่อได้ทุกจังหวะ
และถ้าใจเสาะ ถอดใจหนีเมื่อไหร่ ก็เท่ากับบีบเส้นทางอำนาจ “ลุงตู่” ไปต่อยากทันที
นี่แหละคือเป้าหมายของนักการเมืองอาชีพ
ขณะที่อีกด้านก็เป็นการบ้านของนายสมคิดที่ต้องตอบคำถามเชิงวิชาการที่หนีไม่พ้นเครื่องหมายคำถาม เรื่องภาระงบประมาณในโครงการกึ่งรัฐสวัสดิการ
รูปแบบไม่ต่างจากประชานิยมที่ปรนเปรอประชาชนแบมือขออย่างเดียว
แบบที่นายสมคิดยืนยันเลยว่า โครงการบัตรคนจน ธงฟ้าประชารัฐ ไม่ได้แค่ช่วยจุนเจือความช่วยเหลือเฉพาะหน้าให้ผู้มีรายได้น้อยเท่านั้น
ไม่ได้แค่ให้เงินฟรีๆแล้วจบกัน แต่ระยะยาว รัฐบาลต้องช่วยสร้างรายได้ โดยที่กระทรวงการคลังจะได้ข้อมูลให้รู้ว่าแต่ละหมู่บ้านต้องการอะไรจริงๆ เพราะแต่ละหมู่บ้านความต้องการไม่เหมือนกันแน่ ต่อไปไม่ใช่แค่รับเงินสดอย่างเดียว ต้องมีโปรแกรมว่าจะพัฒนาอาชีพและต่อยอดความช่วยเหลืออย่างไร
ตามรูปการณ์ที่ “สมคิด” มั่นใจมาตรการอุ้มคนจนในทางยาวๆ
แต่ปัญหามันอยู่ที่ “บิ๊กตู่” ประกาศมัดคอตัวเองไว้แล้วจะเลือกตั้งปลายปี 2561 จึงเป็นการบ้านหนักที่รัฐบาล คสช.จะดำเนินการมัดใจประชาชนฐานรากได้ต่อเนื่องขนาดไหนในระยะเวลาที่เหลืออยู่จำกัด
อย่างไรก็ตาม จับสัญญาณแกว่งๆจาก “ครูหยุย” นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่แสดงความเป็นห่วงตัวแปรเรื่องการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. อาจจะต้องเสียเวลาไปแก้ไขเนื้อหาที่เป็นปัญหา ทำให้การเลือกตั้งต้องช้าออกไป
ขณะที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯและรมว.กลาโหม ในฐานะโต้โผใหญ่รัฐบาล ก็ยืนกรานเสียงแข็ง กำหนดเลือกตั้งต้องแปรผันตามการแล้วเสร็จของกฎหมายลูก
และล่าสุด “ซือแป๋” นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ แบะท่ายอมรับตามตรงเลยว่า ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดนทักท้วงเยอะแทบทุกมาตรา
ยอมรับสภาพเป็นนัย กระบวนการกฎหมายลูกมีแนวโน้มล่าช้าคุมเกมไม่ได้
เรื่องของเรื่อง เหมือน “ซือแป๋” ก็เริ่มรู้สึกได้ถึงแรงเหวี่ยงในการเร่งเกมกฎหมายลูกมัดคอ “นายกฯลุงตู่” รีบประกาศเลือกตั้ง เตะลูกไปเข้าทางเหลี่ยมถนัดของยี่ห้อ “ทักษิณ”
ได้ยินเสียงคนกันเองค่อนแคะ ทำปืนลั่นใส่เท้าตัวเองทำไม.
ทีมข่าวการเมือง