"บิ๊กป้อม" ปธ.เปิดงาน "NBTC Expo Thailand 2017 (NET 2017)" ปธ.กสทช.เผยไทยเสี่ยงถูกโจมตีด้านไซเบอร์ ชี้เกณฑ์รับมือสงครามไซเบอร์ของไทยมาตรฐานต่ำกว่ามาเลเซีย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 3 ส.ค.60 ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานเปิดงาน "NBTC Expo Thailand 2017 (NET 2017)" โดยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จัดขึ้นเนื่องในงานวันสื่อสารแห่งชาติประจำปี 2560 โดยมี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ นายทหารระดับสูง พร้อมด้วย พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี ประธาน กสทช. ตลอดจนตัวแทนหน่วยงานด้านความมั่นคงเข้าร่วม 200 คน ร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง นอกจากนี้ได้เชิญ นายริชาร์ด เอ.คลาก (Richard A.Clarke) ผู้เชี่ยวชาญด้าน Cyber Security และที่ปรึกษาของประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาหลายคน และเคยเข้าร่วมแก้ไขวิกฤติหลังจากเหตุสโนว์เดน มาบรรยายพิเศษด้วย

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ปัจจุบันมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบสงคราม ที่เรียกว่าสงครามไซเบอร์ ที่หน่วยงานความมั่นคงทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยให้ความสำคัญ เพราะสร้างผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคมและความมั่นคงของชาติ ถือเป็นโอกาสที่ดี สำหรับผู้เข้าร่วมการสัมมนา ซึ่งเป็นผู้บริหารด้านความมั่นคงระดับสูง จะได้รับความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อจะได้นำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เตรียมพร้อมรับมือสงครามไซเบอร์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ด้าน พล.อ.อ.ธเรศ กล่าวว่า ที่ผ่านมาโลกให้ความสนใจเกี่ยวกับการระบาดของมัลแวร์ Petya ที่โจมตีโครงสร้างพื้นฐานของประเทศยูเครน ในขณะที่ประเทศมหาอำนาจ ทั้งสหรัฐฯ รัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ ก็ใช้มัลแวร์ในการโจมตีโครงสร้างประเทศฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน การดำเนินการในลักษณะนี้นับวันจะขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ในรูปแบบสงครามที่ไม่มีการประกาศ ดังนั้นหลายประเทศจึงได้เตรียมหน่วยงานเตรียมรับมือกับหน่วยงานด้านภัยคุกคามด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้นนี้ โดยเฉพาะด้านความมั่นคง เช่น สหรัฐฯ ได้มอบหมายให้ national security agency กระทรวงกลาโหม กระทรวงป้องกันมาตุภูมิ ร่วมกันรับผิดชอบ โดยปี 2009 มีการตั้ง cyber command เช่นเดียวกับเกาหลีใต้ อียู สิงคโปร์ มาเลเซีย ก็มีหน่วยงานในลักษณะดังกล่าว เป็นหน่วยงานระดับชาติที่ตั้งขึ้นมา ทำหน้าที่บริหารและจัดการความเสี่ยงด้านไซเบอร์ และจัดทำแผนยุทธศาสตร์ โดยมีผู้นำสูงสุดของประเทศเป็นผู้บังคับบัญชา

...

พล.อ.อ.ธเรศ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยมีแนวโน้มการใช้อินเทอร์เน็ตของภาคประชาชนได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากสถิติของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจโทรคมนาคมของ กสทช.ในปีที่แล้วพบว่ามีผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือกว่า 113 ล้านหมายเลข การเติบโตที่รวดเร็วขนาดนี้ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดภัยคุกคามด้านไซเบอร์เพิ่มขึ้นมาเป็นเงาตามตัว จากการที่เราดูจากการประเมินความเสี่ยงจากหน่วยงานต่างประเทศ เช่น เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม ได้ประเมินความพร้อมในการรับมือกับไซเบอร์ จะเห็นว่า มาเลเซีย มีความพร้อมในการรับมือที่สูงมาก ทางด้าน สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) พบว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีทางไซเบอร์ค่อนข้างสูง คืออยู่ในลำดับที่ 15 ของโลกจาก 165 ประเทศ ตามหลัง อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และมาเลเซีย

"การจัดลำดับความเสี่ยง จะดูที่มาตรการใน 5 ด้าน เช่น ในด้านกฎหมาย คณะกรรมการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ หรือ สปท. ได้เสนอ ร่างพ.ร.บ.ว่าด้วยการรักษาความปลอดภัย พ.ศ...อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ในร่างพ.ร.บ.ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กภช.) เสนอให้ นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เป็นหน่วยงานที่กำหนดนโยบาย ถ้ากฎหมายนี้ออกมา จะมีหน่วยงานที่สั่งการหน่วยงานราชการ และเอกชนให้กระทำ หรือยุติการกระทำต่างๆ เมื่อเกิดเหตุภัยคุกคามด้านไซเบอร์" พล.อ.อ.ธเรศ กล่าว

ประธาน กสทช. กล่าวต่อว่า ส่วนการจัดโครงสร้างองค์กรก็ต้องรอดูกฎหมายที่จะออกมาก่อน ตนคิดว่าระดับปฏิบัติเราเองอาจจะต้องมีเช่นเดียวกับที่สหรัฐฯ ในลักษณะของ Cyber command ในแง่ความมั่นคงอาจรวมกันระหว่าง 3 เหล่าทัพ สำหรับด้านเทคนิคกับการพัฒนาบุคคลากรนั้น เหล่าทัพก็เริ่มมีการสร้าง Cyber warrior หรือ นักรบไซเบอร์ กันบ้างแล้ว แต่หลักการแล้วการปฏิบัติการเชิงรุกง่ายมาก แต่ที่สำคัญคือด้านการป้องกัน ส่วนความร่วมมือก็ได้ดำเนินการมากับหลายประเทศ ญี่ปุ่น นอร์เวย์ รัสเซีย อย่างไรก็ตาม จากการประเมินทั้ง 5 ด้าน ITU ประเมินว่าเรายังอยู่ในประเทศที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ต้องปรับปรุง