"บิ๊กนุ้ย" เป็นประธานพิธีสดุดีวีรชนในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 พร้อมวางพานพุ่มถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 และคล้องพวงมาลัยที่ปากกระบอกปืนเสือหมอบ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระอัจฉริยภาพ ทำให้ประเทศไทย เป็นเอกราช ไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจ และวีรกรรมอันหาญกล้าของบรรพชนทหารเรือ...
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 13 ก.ค.60 ที่บริเวณลานหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 ป้อมพระจุลจอมเกล้า พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผู้ช่วยผบ.ทร. เป็นประธานในพิธีสดุดีวีรชน โดยมีพิธีวางพานพุ่มถวายสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คล้องพวงมาลัยที่ปากกระบอกปืนเสือหมอบ พิธีกล่าวคำสดุดีวีรชนในวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 และพิธีบำเพ็ญกุศลแด่วีรชนฯ
โดยเหตุการณ์ ร.ศ.112 ตรงกับปีพุทธศักราช 2436 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในช่วงนั้นชาติตะวันตกได้เข้ามามีอิทธิพลสำคัญทางแถบเอเชีย โดยจุดประสงค์ที่สำคัญก็คือ การแสวงหาอาณานิคมประเทศต่างๆ เช่น ญวน เขมร ลาว ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ส่วนพม่าและมลายูตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ สำหรับประเทศไทย ได้ถูกชาติมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศสเข้ามารุกราน โดยในวันที่ 13 ก.ค.2436 เรือรบฝรั่งเศส 2 ลำ คือ เรือสลุปแองคองสตังค์ และเรือปืนโคแมตได้รุกล้ำสันดอนปากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามายังกรุงเทพฯ และได้เกิดการปะทะกับฝ่ายไทย ทั้งหมู่ปืนที่ป้อมพระจุลจอมเกล้า และเรือรบไทยที่จอดอยู่เหนือป้อมพระจุลจอมเกล้า จำนวน 9 ลำ ผลปรากฏว่า เรือแองคองสตังต์ และเรือโคแมต ที่ได้รับความเสียหายบางส่วน สามารถตีฝ่าแนวป้องกันที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาได้จนถึงกรุงเทพฯ และเทียบท่าอยู่ที่หน้าสถานทูตฝรั่งเศส โดยมีทหารประจำเรือเสียชีวิตรวม 3 นาย และเรือนำร่องถูกยิงเกยตื้นอยู่ริมฝั่ง ส่วนฝ่ายไทยเรือที่ได้รับความเสียหายจากกระสุนปืนใหญ่จากฝ่ายตรงข้าม จำนวน 4 ลำ
...
ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว ไทยกับฝรั่งเศสก็ได้ยุติการสู้รบกันเกี่ยวกับกรณีพิพาทเรื่องเขตแดนทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง และเป็นเหตุให้ไทยเราต้องเสียดินแดนแก่ฝรั่งเศสเป็นจำนวนมาก โดยที่ไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงได้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการดำรงไว้ซึ่งเอกราช ประกอบด้วยดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง อันได้แก่ ประเทศลาวปัจจุบัน ในพื้นที่เมืองหลวงพระบาง เมืองเวียงจันทน์ และอาณาเขตนครจำปาศักดิ์ตะวันออก ตลอดจนบรรดาเกาะแก่งต่างๆ ในแม่น้ำโขง 2 คิดเป็นพื้นที่ 143,000 ตารางกิโลเมตร
เหตุการณ์ในครั้งนั้น ยังความโทมนัสและเสียพระราชหฤทัยแก่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอันมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพิจารณา เห็นว่าการว่าจ้างชาวต่างประเทศเป็นผู้บังคับการเรือ และป้อมนั้นไม่เป็นหลักประกันพอที่จะรักษาประเทศได้สมควรที่จะต้องบำรุงกำลังทหารเรือไว้ป้องกันภัยด้านทะเล และต้องใช้คนไทยทำหน้าที่แทนชาวต่างประเทศทั้งหมด และการที่จะให้คนไทยทำหน้าที่แทนชาวต่างประเทศได้นั้นต้องมีการศึกษาฝึกหัดเป็นอย่างดี จึงจะใช้การได้ จึงทรงส่งพระเจ้าลูกยาเธอหลายพระองค์ออกไปศึกษาวิชาการทั้งในด้านการปกครอง การทหารบก ทหารเรือ และอื่นๆ ในทวีปยุโรป รวมทั้งได้ฝึกนายทหารเรือไทย เพื่อปฏิบัติงานแทนชาวต่างประเทศตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทำให้กิจการทหารเรือมีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศตราบจนปัจจุบัน
เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น กองทัพเรือ จึงได้จัดให้มีการจัดงาน “รำลึกวิกฤตการณ์ ร.ศ.112” ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2560 ภายในอุทยานประวัติศาสตร์ทหารเรือป้อมพระจุลจอมเกล้า ระหว่างเวลา 10.00 น. – 18.00 น. ประกอบด้วย การจัดแสดงนิทรรศการ พิธีวางพานพุ่มถวายราชสักการะ พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พิธีสดุดีวีรชนในเหตุการณ์ ร.ศ.112 ในโอกาสนี้ กองทัพเรือ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ร่วมน้อมรำลึกถึงพระอัจฉริยภาพของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทำให้ประเทศไทย เป็นเอกราชไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศมหาอำนาจ และวีรกรรมอันหาญกล้าของบรรพชนทหารเรือ
โดยภายในอาณาบริเวณของอุทยานประวัติศาสตร์ทหารเรือ ป้อมพระจุลจอมเกล้า ประกอบด้วยสถานที่เหมาะแก่การศึกษาทางด้านประวัติศาสตร์ อาทิ พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีขนาดพระบรมรูปใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พิพิธภัณฑ์ป้อมพระจุลจอมเกล้า ป้อมปืนเสือหมอบ พิพิธภัณฑ์เรือหลวงแม่กลอง ลานจัดแสดงอาวุธกลางแจ้ง และเส้นทางชมป่าชายเลน อันร่มรื่นและแวดล้อมด้วยสัตว์ประจำถิ่นนานาชนิด