ยิงถล่มอดีต ส.อบต.นบพิตำ ขาใหญ่ ดับสยองพร้อมเมีย 2 ศพ คาดหักหลังธุรกิจมืด พบ "น้องหมาพุดเดิล" อยู่ในอ้อมกอดเมีย รอดตายปาฏิหาริย์...
เมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 10 ก.ค. ร.ต.อ.ธนาทร พันธ์ชู ร้อยเวร สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งเหตุยิงถล่มกัน มีผู้เสียชีวิตอยู่ในที่เกิดเหตุ 2 ศพ บนถนนสายสนามบิน-โมคลาน-อู่ตะเภา ท้องที่หมู่ 10 ต.ปากพูน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช หลังรับแจ้งจึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.สมพงศ์ ทิพย์อาภากุล ผกก. พ.ต.ท.คมสัน พฤศวานิช รองผกก.ป. พ.ต.ท.บุญมี ศิริปาลกะ รองผกก.สส. พ.ต.ท.สมชาย มวยดี สวป. พ.ต.ท.วินัย คงประพันธ์ สว.สส. พ.ต.ท.วิชัย กาญจนภักดิ์ สวป. พ.ต.อ.เชาวศิลป์ บุญประดิษฐ์ ผกก.สส.บก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช พ.ต.ท.โชคดี ศรีเมือง รองผกก.สส.บก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช เจ้าหน้าที่กองวิทยาการเขต 43 นครศรีธรรมราช แพทย์เวร รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช และเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยไต้เต็กตึ้ง รุดไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุอยู่ในคูถนนฝั่งขาเข้าเมือง พบรถกระบะตอนครึ่งยี่ห้อฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่นใหม่ สีบรอนซ์ ทะเบียน บษ-1694 นครศรีธรรมราช แต่งซิ่งและติดตั้งเครื่องเสียงอย่างดี เสียหลักชนเสาหลักป้ายบอกเส้นทางจนหักล้มอยู่ริมถนน ส่วนรถกระบะตกลงไปอยู่ในคูถนน สภาพพังยับเยิน บริเวณประตูฝั่งคนขับมีรอยกระสุนปืนจนฉีกขาด จำนวน 3 รู บริเวณด้านในของประตูฝั่งทางซ้ายมีรอยกระสุนเจาะเป็นรูพรุน 3 รูเช่นกัน ตรวจสอบภายในรถพบผู้เสียชีวิต 2 ศพ ศพแรกเป็นคนขับทราบชื่อคือ นายเรวัฒน์ เฉลิมโรจน์ หรือ "เอฟ นบพิตำ" อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 85/1 หมู่ 1 ต.นบพิตำ อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช มีบาดแผลถูกยิงด้วยกระสุนปืน ขนาด 9 มม. เข้าที่ใบหน้า 2 นัด และที่ลำคอด้านหลังทะลุด้านหน้าอีก 1 นัด เสียชีวิตอยู่ในชุดเสื้อยืดแขนยาวสีน้ำเงิน นุ่งกางเกงขาสั้นสีกากี โดยศีรษะเอียงตะแคงด้านซ้าย ไปซุกอยู่บนตักของผู้เสียชีวิตศพที่สอง ที่นั่งคู่กันมาด้านหน้า
...
ส่วนศพที่สองซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างเป็นผู้หญิง ทราบว่าเป็นภรรยาของนายเรวัฒน์ ชื่อ น.ส.อ้อมทิพย์ ปุณนุวงศ์ หรือ "อ้อม" อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 27/2 ม.1 ต.ท่าไร่ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ถูกยิงด้วยกระสุนปืนขนาดเดียวกัน ในลักษณะจ่อยิงเข้าที่ท้ายทอย กระสุนทะลุหน้าผาก เป็นแผลฉกรรจ์ ในอ้อมกอดมีสุนัขพันธุ์ "พุดเดิล" สีขาว 1 ตัว อยู่ในอาการตื่นตกใจ แต่ไม่โดนกระสุนแม้แต่น้อย จากการตรวจสอบอย่างละเอียด พบปลอกกระสุนปืนขนาด 9 มม. ตกอยู่ในรถ 3 ปลอก หัวกระสุน 1 หัว และพบซองใส่ปืนตกอยู่ข้างรถ 1 ซอง โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง ส่วนหลังรถพบคันเบ็ดตกปลา 1 อัน จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน แล้วให้เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิใต้เต๊กตึ้งนำศพส่ง รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช ให้แพทย์ตรวจชันสูตรพลิกศพอย่างละเอียดอีกครั้ง
จากการตรวจสอบประวัติของนายเรวัฒน์ ทราบว่า อดีตเคยเป็น ส.อบต.นบพิตำ อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช และมาได้ภรรยาอยู่ใน ต.ช้างซ้าย อ.พระพรหม ปัจจุบันเช่าบ้านอยู่กับภรรยาที่บริเวณสามแยกนาพรุ อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช และมีประวัติถูกจับกุมคดียาเสพติดในท้องที่ สภ.เกาะทวด อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีการสืบสวนขยายผลไปถึงเครือข่ายยาเสพติดในเรือนจำจังหวัดนครศรีธรรมราช นอกจากนี้ ยังต้องคดีพยายามฆ่า 2 คดี ในท้องที่ สภ.เมือง และ สภ.พระพรหม ทั้ง 3 คดี อยู่ระหว่างการประกันตัวสู้คดีในชั้นศาล ตามปกตินายเรวัฒน์จะพกพาอาวุธปืนติดตัวตลอดเวลา แต่จากการชันสูตรพลิกศพกลับไม่พบอาวุธปืนแต่อย่างใด รวมทั้งกุญแจรถยนต์คันเกิดเหตุก็หายไปด้วย คาดว่าหลังก่อเหตุคนร้ายได้นำอาวุธปืนและกุญแจรถของนายเรวัฒน์ไปด้วย
พ.ต.อ.สมพงศ์ เปิดเผยว่า จากการสอบสวนเบื้องต้น ทราบว่าผู้ตายทั้งสองได้ขับรถเดินทางกลับจากตกปลาที่คลองแห่งหนึ่งในตัว อ.ท่าศาลา และกำลังจะขับรถกลับบ้านพัก โดยจากการตรวจสอบในที่เกิดเหตุ พบว่ารอยกระสุนที่เจาะประตูรถด้านนอกเป็นรอยกระสุนออก ส่วนรอยกระสุนที่ด้านในของประตูด้านซ้ายกระสุนเข้า เป็นทั้งวิถีกระสุนที่ผู้ตายทั้งสองโดนยิงลักษณะเป็นการจ่อยิงมาจากทางด้านหลัง จึงสันนิษฐานได้ 2 แนวทาง โดยแนวทางแรกคนร้ายอาจจะมาด้วยกัน และนั่งในรถด้านหลัง ในระหว่างนายเรวัฒน์กำลังขับรถ โดยเปิดกระจกทั้งสองข้าง และอาจจะมีการเจรจาตกลงอะไรกันบ้างอย่าง แต่ตกลงกันไม่ได้ คนร้ายที่นั่งมาในรถด้านหลังจึงบันดาลโทสะจ่อยิงนายเรวัฒน์และภรรยาจนเสียชีวิต ทำให้รถเสียหลักพุ่งชนเสาป้ายบอกทาง ก่อนจะพุ่งตกลงไปในคูถนน หลังเกิดเหตุคนร้ายได้ยึดอาวุธปืนและกุญแจรถของนายเรวัฒน์หลบหนีไป
ส่วนอีกแนวทาง คนร้ายใช้รถกระบะขับไล่ตามประกบใช้อาวุธปืนยิงใส่นายเรวัฒน์ จนรถของนายเรวัฒน์เสียหลักพุ่งชนเสาป้ายบอกทาง ก่อนพุ่งตกลงไปในคูถนน จากนั้นคนร้ายได้ตามลงไปจ่อยิงซ้ำนายเรวัฒน์ รวมทั้งจ่อยิงเมียของนายเรวัฒน์จนเสียชีวิตทั้งสองคน แล้วชิงเอาอาวุธปืนและกุญแจรถของนายเรวฒน์หลบหนีไป ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสอบสวนกรณีดังกล่าวให้ชัดเจนอีกครั้ง สำหรับสาเหตุยังไม่ทราบแน่ชัด โดยจะสอบสวนสืบสวนหาสาเหตุที่แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง พร้อมติดตามจับกุมตัวคนร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.