สทนช.เร่งบริหารแก้ปัญหาน้ำ "น้ำท่วม-น้ำแล้ง-และน้ำเสีย" ใน จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก พร้อมเสนอวิธีรณรงค์ประหยัดน้ำ ติดมิเตอร์ที่ฝักบัว หวังลดปริมาณใช้น้ำ มั่นใจเอลนีโญไม่กระทบภูเก็ต

เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 66 นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูสภาพป่าต้นน้ำ และการจัดการคุณภาพน้ำ ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ณ พื้นที่โครงการสร้างฝายชะลอน้ำ เพื่อลดการชะล้างพังทลายของดิน พื้นที่ตอนบนของป่าชุมชนน้ำตกกะทู้ อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต และโรงปรับปรุงคุณภาพน้ำเทศบาลเมืองป่าตอง ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นการบูรณาการการดำเนินกิจกรรมในพื้นที่ต้นน้ำ ที่เชื่อมโยงไปสู่พื้นที่กลางน้ำและปลายน้ำอย่างเป็นระบบ

นายสุรสีห์ กล่าวว่า จ.ภูเก็ต เป็นจังหวัดที่มีความสำคัญทางด้านการท่องเที่ยว และอยู่ในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ แต่ด้วยสภาพพื้นที่และศักยภาพด้านทรัพยากรน้ำ ณ ปัจจุบันยังประสบปัญหาทั้งด้านการขาดแคลนน้ำเป็นประจำทุกปี จากภาวะฝนทิ้งช่วงหรือฤดูแล้ง มีปริมาณการขาดแคลนน้ำรายปีเฉลี่ยทุกด้านรวมกันอยู่ที่ 25.54 ล้าน ลบ.ม. นอกจากนี้ยังมีปัญหาน้ำท่วมเกิดจากคลองส่วนใหญ่น้ำล้นตลิ่ง เนื่องจากสภาพทางภูมิประเทศในบางช่วงที่เป็นลักษณะคอขวด ทำให้ระบายน้ำได้น้อยจนเกิดน้ำสะสมล้นตลิ่ง รวมถึงมีสิ่งกีดขวางทางน้ำ น้ำทะเลหนุนบริเวณชายฝั่ง ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่อยู่เป็นประจำ อีกทั้ง จ.ภูเก็ต เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวจำนวนมาก ทำให้มีอัตราการขยายเมืองของ จ.ภูเก็ต เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการขยายที่ทำกินสู่พื้นที่ต้นน้ำ ส่งผลให้พื้นที่ป่าไม้ลดลง โดยพบว่า ต.ศรีสุนทร มีความรุนแรงในการสูญเสียหน้าดินมากที่สุดถึง 2,082 ตัน/ไร่/ปี รองลงมาคือ ตำบลกะทู้ มีความรุนแรงของการสูญเสียหน้าดินเฉลี่ย 2,015 ตัน/ไร่/ปี ที่สำคัญยังพบปัญหาคุณภาพน้ำ น้ำเสียส่วนใหญ่เกิดจากแหล่งชุมชนและสถานบริการ โดยมีปริมาณน้ำเสียเกิดขึ้นรวม 149,917 ลบ.ม./วัน ขณะที่ระบบบำบัดน้ำเสียรวมชุมชนในจังหวัดภูเก็ตสามารถรองรับน้ำเสียได้แค่เพียง 94,961 ลบ.ม./วัน

...

"ดังนั้นเพื่อให้การแก้ไขด้านทรัพยากรน้ำในพื้นที่ จ.ภูเก็ต บรรลุผล มีการบูรณาการอย่างเป็นระบบตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ท้ายน้ำ สทนช.ได้ทำโครงการศึกษาแผนหลักแบบบูรณาการเพื่อการบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งพื้นที่เฉพาะ (Area based) เกาะภูเก็ต ตามแนวทางการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ ที่ครอบคลุมตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ทั้งนี้หากโครงการแล้วเสร็จจะสามารถเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้ จ.ภูเก็ต ได้ประมาณ 60.53 ล้าน ลบ.ม. พื้นที่รับประโยชน์จากการจัดการด้านอุทกภัย จำนวน 42,796 ไร่ และสามารถเพิ่มศักยภาพในการบำบัดน้ำเสียได้ จำนวน 4.96 ล้าน ลบ.ม./ปี" นายสุรสีห์ กล่าว

เลขาธิการ สทนช. กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันจังหวัดภูเก็ตกำลังประสบกับปัญหาการชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่ตอนบน ดังนั้นการฟื้นฟูและอนุรักษ์ระบบนิเวศทรัพยากรน้ำในพื้นที่ป่าชุมชนจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน ซึ่งในโครงการเบื้องต้นที่วางแผนไว้ คือ การสร้างฝายชะลอน้ำเพื่อลดการชะล้างพังทลายของดินพื้นที่ป่าชุมชนบ้านน้ำตกกะทู้ อ.กะทู้ โดยจะทำฝายชะลอน้ำเป็นฝายต้นน้ำแบบกล่องเกเบี้ยน เป็นแบบที่พัฒนามาจากฝายผสมผสานแบบหินทิ้งให้เกิดความคงทนแน่นหนา ป้องกันไม่ให้ถูกน้ำพัดพาไปได้ ด้วยการใช้กล่องตาข่ายชุบกาวาไนซ์ขนาดเหมาะสม เมื่อใส่กระสอบดินทรายแล้วมีน้ำหนักมากพอไม่ให้ความแรงของน้ำไหลพัดพาหรือยกไปได้ วางเรียงตามแนวที่จะสร้างฝาย มัดกล่องตาข่ายให้ติดกับเสาปูนอย่างมั่นคงตามความกว้างของฝาย ซึ่งคาดว่าจะช่วยป้องกันและลดการชะล้างพังทลายของดินได้ไม่ต่ำกว่า 291 ไร่

"การอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศพื้นที่ป่าต้นน้ำมีความสำคัญอย่างมาก โดยเฉพาะเป็นการรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เนื่องจากป่าต้นน้ำช่วยทำหน้าที่รองรับน้ำฝนและช่วยรักษาความสมบูรณ์ให้แหล่งน้ำในธรรมชาติ ทำให้แม่น้ำมีน้ำตลอดทั้งปี เป็นประโยชน์ต่อสัตว์ป่า นอกจากช่วยลดการชะล้างพังทลายของดิน ป้องกันตะกอนดินไหลลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะแล้ว การปรับปรุงคุณภาพน้ำก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการอนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศทรัพยากรน้ำ ในพื้นที่กลางน้ำและปลายน้ำ โดยเฉพาะผลกระทบจากน้ำเสียที่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ ด้วยการใช้มาตรการบำบัดน้ำเสียที่เกิดจากชุมชนและสถานประกอบการ มุ่งเน้นการบำบัดน้ำเสียและการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ ก็ถูกบรรจุไว้ในแผนหลักการบริหารจัดการน้ำของจังหวัดภูเก็ตด้วย" นายสุรสีห์ กล่าว

...

นายสุรสีห์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้โรงปรับปรุงคุณภาพน้ำ เทศบาลเมืองป่าตอง จ.ภูเก็ต เป็นหนึ่งในพื้นที่ต้นแบบที่สามารถใช้ขยายผลให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อนำไปดำเนินการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ของตนเองได้ เนื่องจากหาดป่าตองเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของ จ.ภูเก็ต แต่ละปีมีประชากรและนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก และมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงทำให้เกิดปัญหาความเสื่อมโทรมของมลพิษทางน้ำ เทศบาลเมืองป่าตองได้เล็งเห็นความสำคัญในการแก้ไขปัญหาน้ำเสียที่เกิดขึ้น จึงได้มีการจัดตั้งโรงปรับปรุงคุณภาพน้ำเสีย เพื่อเป็นศูนย์รวมในการบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม โดยเริ่มดำเนินการตั้งปี 2532 ความสามารถในการบำบัดน้ำเสีย 2,250 ลบ.ม./วัน และได้พัฒนาปรับปรุงระบบต่างๆ เรื่อยมา จนกระทั่งปัจจุบันสามารถรองรับน้ำเสียได้รวม 39,000 ลบ.ม./วัน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 9 ตารางกิโลเมตร พร้อมเสนอแนะวิธีรณรงค์ประหยัดน้ำด้วยการติดมิเตอร์ที่ฝักบัว หวังลดปริมาณใช้น้ำ ซึ่งวิธีนี้ได้ผลมาแล้วในต่างประเทศ พร้อมมั่นใจสถานการณ์เอลนีโญไม่กระทบภูเก็ต.