ผวจ.นครศรีธรรมราช ปล่อยชุดเคลื่อนที่เร็วเข้าพื้นที่ เผยน้ำป่าซัดสะพานขาด ทำรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์ตกคลอง มีผู้เสียชีวิต เป็นผู้หญิง 1 รายที่อ.นบพิตำ มีพื้นที่ประสบอุทกภัย 16 อำเภอ เดือดร้อนกว่า 2 หมื่นครัวเรือน 

วันที่ 2 ธ.ค.2563 ที่ศาลากลางจังหวัดนครศรีธรรมราช นายไกรศร วิศิษฎ์วงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช/ผู้บัญชาการเหตุการณ์อุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม จังหวัดนครศรีธรรมราช ปล่อยชุดเคลื่อนที่เร็วเพื่อเข้าสนับสนุนพื้นที่เสี่ยงและพื้นที่ประสบภัย พร้อมกล่าวว่า ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนเตรียมรับมือใน 4 เหตุการณ์ คือ เหตุการณ์น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน น้ำท่วมขัง และเหตุการณ์ดินโคลนถล่ม ปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังหากไม่ไหวให้ร้องขอกำลังเสริม

โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน กำชับสั่งการเจ้าหน้าที่เต็มกำลังรับมือมวลน้ำก้อนใหญ่ที่จะเคลื่อนเข้าเขตเศรษฐกิจเทศบาลนครนครศรีธรรมราชในคืนนี้

ผวจ.นครศรีธรรมราชเผยว่า ความเสียหายและผลกระทบ ประชาชนได้รับผลกระทบแล้วกว่า 22,000 ครัวเรือน เป็นพื้นที่ประสบอุทกภัย 16 อำเภอ 95 ตำบล 492 หมู่บ้าน 29 ชุมชน

...

ซึ่งพื้นที่ที่ประสบภัยในเวลานี้ คือ อำเภอชะอวด, จุฬาภรณ์, ทุ่งสง, เมืองนครศรีธรรมราช, พระพรหม, ร่อนพิบูลย์, ท่าศาลา, พิปูน, นาบอน, ลานสกา, สิชล, เฉลิมพระเกียรติ, เชียรใหญ่, นบพิตำ อำเภอขนอม และอำเภอปากพนัง ประชาชนได้รับผลกระทบด้านที่อยู่อาศัย มีบ้านพักเสียหายบางส่วน จำนวน 8 หลัง (อ.นาบอน 1 หลัง, อ.ท่าศาลา 7 หลัง)

ด้านการเกษตร ได้รับผลกระทบ 9 อำเภอ 67 ตำบล 624 หมู่บ้าน พื้นที่การเกษตรประสบภัย 302,337 ไร่ แบ่งเป็น นาข้าว 35,838 ไร่ พืชไร่ 9,429 ไร่ (ข้าวโพดหวาน พริกขี้หนู มะเขือ ฟักเขียว มันแกว ถั่วลิสง ถั่วฝักยาว) และพืชสวน 257,070 ไร่ ส่วนด้านประมง และด้านปศุสัตว์ อยู่ระหว่างสำรวจความเสียหาย

ผวจ.นครศรีธรรมราช เผยเพิ่มเติมว่า ได้รับรายงานจากนายสาทร หวังพัฒน์ นายอำเภอนบพิตำว่า กระแสน้ำป่า ทำให้สะพานข้ามคลองกลาย หมู่ 1 ต.นบพิตำ อ.นบพิตำ พังถล่มลงมา เป็นเหตุให้มีรถยนต์ฟอร์จูนเนอร์สีดำ พลัดตำลงไปในกระแสน้ำ ในรถมีผู้โดยสาร 2 คน ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นผู้ชาย มาทราบรายละเอียดในเวลาต่อมาทราบว่าเป็นผู้หญิง เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน ขณะนี้ทางอำเภอกำลังเร่งปรับถนนบริเวณใกล้เคียง ที่เคยเป็นทางเบี่ยงหรือทางเลี่ยง ให้สามารถใช้การให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรไปมาได้ในยามเกิดภัยพิบัติ