อดีตคุณครูเมืองคอน วัย 77 ปี ยังต้องตรากตรำปลูกผักหาเงินจ่ายหนี้กยศ.แทนลูกศิษย์ หลังโดนบังคับคดี ขายทอดตลาดบ้านชำระหนี้ 1.7 แสน เพราะไปเซ็นค้ำประกัน ด้วยความหวังดี แต่ลูกศิษย์จบม.6 แล้วไปเรียนรามฯ ขอกู้ต่อ หลั่งน้ำตาร้องสื่อ วอนศิษย์ช่วยจ่ายหนี้บ้าง

วันที่ 6 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สมาคมสื่อมวลชนนครศรีธรรมราช ได้มีนางวันดี จินา อายุ 77 ปี อดีตคุณครูโรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช พร้อมนายวราพงษ์ จินา อายุ 80 ปี สามี เดินทางเข้าร้องเรียนสื่อมวลชน เพื่อวิงวอนให้นายวุฒิ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี บ้านอยู่ ต.ฉวาง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช อดีตลูกศิษย์ของนางวันดี สมัยที่นางวันดี สอนระดับมัธยมโรงเรียนฉวางรัชดาภิเษก เมื่อปี 2540 และนายวุฒิ ได้ขอกู้เงินจากกองทุนเงินกู้เพื่อการศึกษา (กยศ.) และนางวันดี ได้เซ็นค้ำประกันเงินกู้ กยศ.ให้ แต่ผ่านมากว่า 20 ปี นายวุฒิ ลูกศิษย์ และครอบครัวกลับไม่รับผิดชอบหนี้เงินกู้ กยศ.จนกระทั่งบริษัทเศรษฐคณา จำกัด ผู้รับมอบอำนาจจากกองทุน กยศ.ได้ยื่นฟ้องนางวันดี ในฐานะผู้ค้ำประกันเงินกู้ต่อศาลจังหวัดทุ่งสง ตามคดีหมายเลขดำที่ 1747/2551 คดีหมายเลขแดงที่ 2096/2551 ศาลสั่งยึดทรัพย์บ้านและที่ดิน ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนางวันดี และสามีในปัจจุบัน

นางวันดี กล่าวว่า ในช่วงในปี 2540 นโยบายเงินกู้เงิน กยศ. เพิ่งเริ่มดำเนินการใหม่ๆ นายวุฒิ เรียนในระดับมัธยมปลาย ต้องการกู้เงิน 8,000 บาทเศษ ตนเห็นแก่อนาคตของลูกศิษย์ จึงเซ็นค้ำประกันเงินกู้จำนวนดังกล่าวให้ จนกระทั่งตนเกษียณอายุราชการมาหลายปี ทางกองทุน กยศ. ได้ส่งเอกสารทวงหนี้มาถึงตนเพราะนายวุฒิ ลูกศิษย์ในฐานะผู้กู้ไม่ได้จ่ายหนี้เงินกู้ กยศ.เลย ที่สำคัญตนเซ็นคำประกันให้แค่ 8,000 บาทในช่วงเรียนมัธยมปลายเท่านั้น แต่นายวุฒิ กลับนำหลักฐานเดิมไปกู้เงิน กยศ.ต่อเนื่องในการเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง จนมียอดเงินต้นกว่า 80,000 บาท ซึ่งจากการตรวจสอบ พบว่ายอดเงินกู้เป็นเงินต้นสูงถึง 86,490 บาท ดอกเบี้ย 12,574.98 บาท เบี้ยปรับ 75,058.03 บาท รวมยอดหนี้ทั้งสิ้น 174,123.01 บาท ตนจึงไปทวงถามกับพ่อแม่ของนายวุฒิ ซึ่งพ่อแม่ของนาวุฒิก็ยืนยันว่าเขาพร้อมรับผิดชอบเองทั้งหมด คุณครูไม่ต้องเป็นห่วง หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย ตนได้พาพ่อแม่ของนายวุฒิไปพบเจ้าหน้าที่ ซึ่งตนคิดว่าพ้นภาระการรับผิดชอบจากตนไปแล้ว

...

แต่อยู่มาเมื่อเดือน พ.ย. 2561 ตนได้รับหนังสือสำนักงานบังคับคดีนครศรีธรรมราช สาขาทุ่งสง ลงวันที่ 11 ก.ย. 2561 ให้บังคับคดีตามยึดทรัพย์จำเลยที่ 1-3 และบัดนี้ ได้ยึดบ้านสิ่งปลูกสร้างของตน ในฐานะที่ตนเป็นจำเลยที่ 2 คือที่ดิน น.ส. 3 ก.ที่ดินเลขที่ 4022 เลขที่ดิน 317 ตำบลฉวาง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นบ้านและที่ดินที่ตนกับสามีอยู่อาศัย และเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2561 ตนได้ไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราชไว้เป็นหลักฐาน เนื่องจากราคาบ้านและที่ดินที่ถูกยึดทรัพย์มีมูลค่ามากกว่าหนี้สินที่ตนค้ำประกัน โดยมียอดหนี้ที่ต้องจ่าย 149,904.02 บาท ต่อมา วันที่ 12 พ.ย. 2561 ตนขอไกล่เกลี่ยผ่อนจ่ายมีกำหนด 24 เดือน ชำระงวดแรกวันที่ 5 ธ.ค. 2561 และหากไม่จ่ายให้เสร็จสิ้นตามระยะเวลาที่กำหนด ภายในเดือน พ.ย.2563 ถือว่าข้อตกลงเป็นอันยกเลิกและจะยินยอมให้ กยศ.บังคับคดีตามคำพิพากษา ซึ่งก็คือการขายทอดตลาดบ้านพร้อมที่ดินของตน

นางวันดี กล่าวด้วยน้ำตาคลอเบ้าอีกว่า ตนเป็นข้าราชการเกษียณมีเงินบำนาญเดือนละไม่ถึง 20,000 บาท มีภาระที่ต้องจ่ายหนี้สินส่วนตัวและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในแต่ละเดือนไม่เพียงพอ ส่วนสามีประกอบอาชีพทำสวนยางพารา แต่หลายปีที่ผ่านมายางพาราราคาตกต่ำจนมีรายได้จากการทำสวนยางพาราน้อยมาก ตนจึงต้องปลูกพืชผักสวนครัวเก็บไปขายตามตลาดนัด เพื่อหาเงินเดือนละ 3,000-4,000 บาทนำไปจ่ายหนี้เงินกู้ กยศ.ตามที่ตกลงกับกองทุนฯ ทุกเดือน แต่ในระยะหลัง ตนมีอายุมากขึ้นทำการเกษตรปลูกพืชผักไม่ค่อยไหว จึงไม่มีเงินไปจ่ายค่างวดหนี้ กยศ.ตามที่ตกลง ขณะนี้คงเหลือยอดที่ต้องจ่ายอีกกว่า 70,000 บาท ในขณะที่มีระยะเวลาเหลืออีกไม่ถึง 2 เดือน ตนคงหมดปัญญาที่จะหาเงินมาจ่ายหนี้จำนวนดังกล่าวอย่างแน่นอน และคงถูกบังคับคดียึดบ้าน ยึดที่ดินที่อาศัยในปัจจุบันไปขายทอดตลาดอย่างแน่นอน

"พยายามไปวิงวอนขอร้องนายวุฒิ ซึ่งมีลูกเมียอยู่ในตลาด อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ประกอบอาชีพร้านอาหาร มีฐานะดี มีรายได้พอสมควร รวมทั้งพ่อแม่ของนายวุฒิก็ค้าขายมีรายได้พอสมควรเช่นกัน ซึ่งน่าจะรวบรวมเงินมาช่วยจ่ายหนี้เงินกู้ของนายวุฒิบ้าง แต่ทั้งพ่อแม่และตัวนายวุฒิ กลับไม่สนใจที่จะช่วยเหลือ และยังพูดจาไม่ดีใส่อีกด้วย ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใครจึงมาร้องเรียนขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือดิฉันและสามีด้วย โดยเฉพาะนายวุฒิและครอบครัว รวมทั้งพ่อแม่ของเขา ที่ตอนกู้เงิน กยศ.ก็มาวิงวอนขอให้ช่วยเหลือค้ำประกันเงินกู้ให้ ซึ่งเห็นแก่อนาคตของลูกศิษย์ อยากให้ได้ศึกษาเล่าเรียนจึงยอมเซ็นค้ำประกันให้เพียงเพื่อให้เรียนจบ ม.6 แต่กลับนำหลักฐานเดิมไปขอกู้เงิน กยศ.ต่อในระดับปริญญาตรี ตอนแรกที่ถูกตามทวงหนี้ นายวุฒิมีครอบครัวและอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ พ่อแม่นายวุฒิก็ยังยืนยันว่าจะไม่ทำให้คุณครูต้องเดือดร้อนอย่างแน่นอน โดยจะรับผิดชอบจ่ายหนี้ กยศ.ของลูกชายเองทั้งหมด”

คุณครูวัยชรา กล่าวต่อไปอีกว่า แต่ในปัจจุบันนายวุฒิ พาครอบครัวกลับมาอยู่บ้านในตลาด อ.ฉวาง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช และมีธุรกิจเปิดร้านขายอาหาร กลับเมินเฉยไม่สนใจไยดี ตนและสามีเดือดร้อนเป็นอย่างมาก จึงขอวิงวอนนายวุฒิและพ่อแม่ขอให้แสดงน้ำใจช่วยเหลือตนและครอบครัวจ่ายหนี้ กยศ.ที่เหลือกว่า 70,000 บาทด้วย

“อย่าทำอย่างนี้ อย่ามาทิ้งภาระทั้งหมดให้กับครูเลย ครูไม่ได้มีส่วนได้เสียกับเงินกู้แม้แต่สตางค์แดงเดียว ขอให้สงสารครูด้วย ครูและสามีอายุมากแล้ว ทำงานหาเงินมาช่วยใช้หนี้แทนลูกศิษย์ไม่ไหวแล้ว ขอให้ช่วยรับภาระหนี้เงินกู้ กยศ.ที่เหลือด้วยเถิด” นางวันดี กล่าวอย่างน่าสงสาร