รมว.ยุติธรรม นำทีมลงพื้นที่สุราษฎร์ ดูงานบ้านนาสารโมเดล ย้ำเร่งแก้ ก.ม.ปลดล็อกกระท่อม คาดพ้นบัญชี ผ่านสภา มิ.ย.นี้ ดันใช้การแพทย์ทดแทนมอร์ฟีน-บำบัดยาเสพติด หนุนปลูกเป็นพืชกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้ ปชช. ลดภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐเรื่องคดีความ ยกบ้านนาสารนำร่องปลูก ติดคิวอาร์โค้ดควบคุมเข้มงวด
เมื่อวันที่ 20 ม.ค.63 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล รองเลขาธิการ ป.ป.ส. และ นายวิชัย ไชยมงคล ที่ปรึกษา ป.ป.ส. พร้อมคณะลงพื้นที่โรงเรียนท่าชีวิทยาคม ต.น้ำพุ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี เพื่อเปิดโครงการศึกษาวิจัยเพื่อสำรวจและจัดทำฐานข้อมูลพืชกระท่อมพื้นที่นำร่อง ต.น้ำพุ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีหน่วยงานราชการท้องถิ่น ผู้นำชุมชน และชาวบ้านในพื้นที่รอต้อนรับ
โดย นายสมศักดิ์ กล่าวกับชาวบ้านว่า ขณะนี้กำลังเร่งดำเนินการแก้กฎหมาย พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษปี 2522 ปลดล็อกพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ เพราะกระท่อมมีสรรพคุณบรรเทาอาการปวด ใช้แทนมอร์ฟีน แต่สามารถออกฤทธิ์ได้ดีกว่ามอร์ฟีน 13-17 เท่า และนำไปใช้บำบัดเลิกยาบ้า-ยาไอซ์ นอกจากนี้ยังสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านที่เพาะปลูก ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในชุมชน เนื่องจากกระท่อมสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย ทั้งยาแคปซูลแก้ปวดเมื่อยและเป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มชูกำลัง ทั้งนี้ต้องขออนุญาตจากทาง อย.ก่อน ซึ่งจะมีการหารือกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อทำ MOU กันต่อไป
...
นอกจากนี้ ยังมีรายงานสถิติผู้ถูกจับกุมคดีครอบครองพืชกระท่อมในปี 2562 มากถึง 60,000 คดี คิดเป็นความเสียหายจากคดีมากถึง 1,800 ล้านบาทต่อปี ทำให้ภาครัฐมีค่าใช้จ่ายทางคดีให้กับตำรวจ อัยการ และศาล ประมาณคดีละ 30,000 บาท หากกระท่อมไม่เป็นยาเสพติด จะประหยัดงบประมาณรัฐไปได้อย่างมหาศาล
นายสมศักดิ์ ย้ำด้วยว่า จะเร่งดำเนินการปลดล็อกพืชกระท่อมให้แล้วเสร็จภายในกลางปีนี้ โดยผลการประชาพิจารณ์เมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา ออกมาเห็นด้วย 99% และในวันที่ 22 ม.ค.นี้ จะนำเสนอร่าง พ.ร.บ.ให้สำนักงาน ป.ป.ส.พิจารณา และคาดว่าจะเสนอเข้า ครม.ได้วันที่ 3 มี.ค.63 จากนั้นจะส่งคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา ก่อนนำกลับเข้า ครม.เสนอเข้าสภาตามขั้นตอนต่อไป คาดว่าสภาจะพิจารณาแล้วเสร็จประมาณเดือน มิ.ย.นี้
ด้าน นายสงคราม บัวทอง กำนัน ต.น้ำพุ อ.บ้านนาสาร จ.สุราษฎร์ธานี เล่าว่า ที่นี่เป็นพื้นที่เดียวในประเทศไทย ที่ ป.ป.ส.อนุญาตให้ปลูกกระท่อมเพื่อการวิจัยตั้งแต่ปี 2559 โดยมีการควบคุมพืชกระท่อมกว่า 1,500 ต้น ปลูกอยู่ในพื้นที่ 6 หมู่บ้านของ ต.น้ำพุ ประกอบด้วย หมู่ 1 บ้านยางอุง, หมู่ 2 บ้านน้ำพุ, หมู่ 3 บ้านนายาว-ดอนสร้อยทอง, หมู่ 4 บ้านดอนทราย, หมู่ 5 บ้านหนองต้อ และหมู่ 6 บ้านควนใหม่ โดยมีการควบคุมการปลูกพืชกระท่อมอย่างเข้มงวด ติดบาร์โค้ดทำข้อมูลทุกต้น และมีการกำหนดกติกาประชาคมระดับตำบลควบคุมกันเองอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งชาวบ้านรอคอยให้การปลดล็อกพืชกระท่อมมานาน ที่ผ่านมาได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำการศึกษาวิจัยพืชกระท่อม เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ หลังจากนี้จะส่งรายงานการวิจัยไปที่ ป.ป.ส.ภาค 8 และรายงาน รมว.ยุติธรรมต่อไป
จากนั้น รมว.ยุติธรรม พร้อมคณะได้เดินทางไปดูต้นกระท่อมแฝดอายุกว่า 100 ปี ของ นายสุจิน ชูชาติ อายุ 74 ปี ชาวบ้านวังหล้อ ต.นาสาร ซึ่งเป็นคนเฒ่าคนแก่ที่มีวิถีชีวิตผูกพันกับต้นกระท่อมมานาน โดย นายสุจิน เล่าว่า ต้นกระท่อมแฝดนี้อยู่คู่กับชุมชนมาตั้งแต่เกิด และเคยใช้ประโยชน์ในการรักษาโรคปวดท้อง
ขณะที่ นางเพลินพิศ แซ่เขา อายุ 54 ปี เล่าว่า ตนป่วยเป็นโรคเบาหวาน จึงต้มน้ำใบกระท่อมกิน ทำให้ระดับน้ำตาลดีขึ้น แต่ยังมีความห่วงใยว่าหากมีชาวบ้านถูกจับกุมคดีครอบครองใบกระท่อม ระหว่างรอแก้กฎหมายจะทำอย่างไร ซึ่ง รมว.ยุติธรรม รับปากว่า จะให้ยุติธรรมจังหวัดเข้าไปช่วยดูแลเรื่องการประกันตัว ส่วนในระยะเวลา 3-6 เดือนข้างหน้า หากไม่สามารถทำได้ จะนำเงินมาจ่ายให้ประชาชนที่ร่วมกันปลูกและดูแลต้นกระท่อม หรือไม่ก็จะโค่นทิ้ง