สาวลูก 6 ร้องกระทรวงสาธารณสุข ถูกโรงพยาบาลทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ตรวจเลือดแล้ววินิจฉัยผิดพลาดว่าติดเชื้อ HIV พร้อมลูกอีก 2 คนก็ติดเชื้อเหมือนกัน ถูกสังคมรังเกียจไปรับลูกที่โรงเรียนก็ถูกเพื่อนลูกล้อ ต้องหนีไปอยู่ที่อื่นจนคลอดลูกคนที่ 6 ถึงรู้ว่าไม่ได้ติดเชื้อ HIV วอนเร่งตรวจสอบพร้อมขอค่าชดเชย
ชีวิตที่เหมือนกับตายทั้งเป็นถูกสังคมรังเกียจ เมื่อโรงพยาบาลมีการตรวจวินิจฉัยโรคและแจ้งผลผิดพลาดจนต้องออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมเพื่อให้สังคมเข้าใจครั้งนี้ เป็นที่เปิดเผยเมื่อช่วงสายวันที่ 3 ก.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ทนายความ ในฐานะประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พร้อมด้วยนางมณีรัตน์ คงหอม อายุ 31 ปี ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้เสียหายกรณีโรงพยาบาลทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช เผยผลการตรวจผิดพลาด โดยระบุว่าติดเชื้อเอชไอวี (HIV) จนต้องใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากนานกว่า 5 ปี มาร้องขอความเป็นธรรมและขอค่าชดเชยจาก นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แต่ นพ.สุขุมไม่อยู่ นพ.พิทักษ์พล บุญยมาลิก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 11 เป็นตัวแทนรับมอบหนังสือร้องเรียน
นางมณีรัตน์กล่าวว่า ต้องการมาขอความเป็นธรรมเนื่องจากโรงพยาบาลทุ่งสงตรวจผิดพลาด ระบุว่าติดเชื้อเอชไอวี ทำให้สังคมเข้าใจตนและลูกผิด คิดว่าติดเชื้อเอชไอวีนานถึง 5 ปี ลูกทั้ง 2 คนซึ่งเป็นลูกคนที่ 4 กับคนที่ 5 ต้องรับยาต้านไวรัสเอชไอวีมาโดยตลอด เพราะแพทย์ระบุว่าพบเชื้อเอชไอวีในเลือด ส่วนตนไม่ได้กินยาต้านไวรัสเนื่องจากท้อแท้ไม่อยากมีชีวิตอยู่ กระทั่งย้ายหนีมาอยู่ที่ จ.พิษณุโลก และคลอดลูกคนที่ 6 กับสามีคนที่ 2 ที่โรงพยาบาลพุทธชินราช จังหวัดพิษณุโลก แต่ระหว่างตั้งครรภ์ไม่ได้มีการฝากครรภ์ เมื่อคลอดลูกถึงรู้ว่าลูกไม่ติดเชื้อเอชไอวี เช่นเดียวกับตนที่มีการตรวจยืนยันถึง 3 ครั้ง ก็ไม่พบเชื้อเอชไอวี จึงได้นำลูกคนที่ 4 กับคนที่ 5 มาตรวจใหม่ก็ไม่พบเชื้อเอชไอวีเช่นกัน
...
“ไม่รู้ว่ายาต้านไวรัสเอชไอวีจะมีผลกระทบหรือผลข้างเคียงในระยะยาวกับลูกหรือไม่ แต่ลูกทั้ง 2 คน ที่กินยาต้านไวรัสก็แข็งแรงดี ที่ผ่านมาชีวิตลำบาก เพราะถูกตีตราจากสังคมรอบข้างว่าป่วยเอดส์ ไม่กล้าไปรับลูกคนโตที่โรงเรียน เพราะเคยไปรับแล้วถูกเพื่อนล้อว่าแม่เป็นเอดส์มารับแล้ว ลูกจึงไม่อยากให้ไปรับ ขณะเดียวกัน ต้องจ้างคนมาเลี้ยงลูกเพราะต้องทำงานหาเงินเอง คนเลี้ยงก็รังเกียจลูกทั้ง 2 คนรวมถึงคนข้างบ้านก็ไม่ให้ลูกมาเล่นด้วย” ผู้เสียหาย กล่าวและว่า อยากเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากกระทรวงสาธารณสุข เพราะอยากอยู่ในสังคม อยากให้คนรอบข้างรู้ว่าตนและครอบครัวไม่มีใครป่วยหรือติดเชื้อเอชไอวี ทั้งอยากให้ถอดชื่อตนและลูก ออกจากบัญชีผู้ติดเชื้อเอชไอวี
นางมณีรัตน์กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันต้องการให้โรงพยาบาลทุ่งสงแสดงความรับผิดชอบ ที่ผ่านมาโรงพยาบาลระบุว่าจะจ่ายเงินเยียวยาจำนวน 50,000 บาท แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่ได้ มาร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมเรื่องก็เงียบ จึงมาร้องกับสภาทนายความและไปเรียกร้องขอคำชี้แจงจากโรงพยาบาลทุ่งสง ได้คำตอบว่าเป็นความผิดพลาดของเครื่องมือในการตรวจไม่ใช่แพทย์ หากเป็นเช่นนั้นจริงก็คิดว่า น่าจะมีคนที่ถูกวินิจฉัยโรคผิดพลาดคล้ายตนอีกในพื้นที่ จึงอยากให้มีการตรวจสอบเพิ่มเติมด้วย
ด้าน นพ.พิทักษ์พลกล่าวว่า ได้ประสานไปยัง รพ.ทุ่งสง ขอให้ส่งข้อมูลมาให้กระทรวง คาดว่าจะ รู้ผลในเร็วๆนี้ เบื้องต้นจะไม่ดูว่าใครถูกผิดและจะให้การดูแลเยียวยาตามมาตรา 41 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 จะมีคณะกรรมการพิจารณาว่าเข้าข่ายหรือไม่ กระทรวงจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด ส่วนเรื่องมาตรฐานการตรวจ ทั้งประเทศใช้มาตรฐานการตรวจเหมือนกันหมด ต้องดูในรายละเอียดอีกครั้งว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นจากอะไร