กรมศิลป์ ขุดพบจักรสัมฤทธิ์โบราณ คาดอายุราว 1,300 ปี ชิ้นแรกในไทย ที่เขาศรีวิชัย จ.สุราษฎร์ธานี เชื่อใช้ในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ...
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 ก.พ. ที่บริเวณโบราณสถานเขาพระนารายณ์ (เขาศรีวิชัย) บ้านหัวเขา หมู่ 1 ต.เขาศรีวิชัย อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมการขุดสำรวจพื้นที่โบราณสถานบนเขาศรีวิชัย ของเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร เนื่องจากมีการสำรวจขุดพบหลักฐานโบราณวัตถุชิ้นใหม่เป็นจักร ทำจากโลหะสัมฤทธิ์ มีอายุประมาณ 1,300 ปี เป็นชิ้นแรกของประเทศไทย
โดยมี นายอภิรัฐ เจะเหล่า นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักงานศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดขุดสำรวจร่วมต้อนรับ และนำเยี่ยมชม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณโบราณสถานหมายเลข 12 ซึ่งมีแนวฐานอิฐดินเผาโบราณ และแนวกำแพงแก้ว อยู่ในแปลงที่ดินสวนไม้ผลของ นายสมเกียรติ ทนุก ชาวบ้าน ต.เขาศรีวิชัย ที่อนุญาตให้กรมศิลปากร เข้าสำรวจ เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร สามารถขุดสำรวจแนวฐานอิฐ ได้ขนาดกว้าง 4 เมตร ยาว 12 เมตร และกำแพงแก้วรอบแนวด้านนอกอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเมื่อเดือนเมษายน 2560 ได้ขุดพบธรรมจักรศิลา ทำด้วยศิลาทราย เจาะซี่ล้อเป็นแบบโปร่ง เส้นผ่านศูนย์กลาง 32.2 เซนติเมตร มีกำ 12 ซี่ มีดุมตรงกลางเป็นรูปวงกลม ส่วนฐานล่างชำรุดหัก ซึ่งเป็นธรรมจักรชิ้นที่ 2 ที่พบบนเขาศรีวิชัย
...
ถัดมาอีก 1 เดือนในบริเวณเดียวกันขุดพบจักรที่ทำจากโลหะสัมฤทธิ์ เป็นวงกลม มี 4 ก้าน เส้นผ่านศูนย์กลาง 12 เซนติเมตร ขนาดจับพอดีฝ่ามือ อยู่ในสภาพสนิมจับหนา มีลวดลายและมีรอยบุ๋มตรงกลาง เพิ่งทราบผลการตรวจสอบ และค้นคว้าทางโบราณคดีเมื่อเร็วๆ นี้ว่า เป็นจักรสัมฤทธิ์ชิ้นแรกที่พบในประเทศไทย มีอายุราว 1,300 ปี คาดว่าน่าจะเป็นของใช้ในพิธีกรรมมงคลศักดิ์สิทธิ์ อาจเป็นจักรของพระวิษณุ หรือของโพธิสัตว์ในลัทธิมหายาน
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การขุดสำรวจโบราณสถานหมายเลข 12 หลังพบธรรมจักร และจักรสัมฤทธิ์แล้ว ยังไม่สามารถขยายพื้นที่ขุดสำรวจตามแนวฐานอิฐ และกำแพงแก้วต่อไปได้ เนื่องจากเจ้าของที่ดินแปลงอีกรายที่อยู่ติดกันยังไม่อนุญาต ซึ่งหากสามารถขยายพื้นที่สำรวจได้ อาจจะพบโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของแผ่นดิน และอาณาจักรศรีวิชัยอีก
นอกจากนี้ ยังมีแนวเนินดินและแนวฐานอิฐดินเผาโบราณลักษณะเดียวกันถัดเรียงไปอีก 4 จุด ได้แก่ โบราณสถานหมายเลข 11, 10, 9 และหมายเลข 8 ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะพบหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์เช่นกัน
นายอภิรัฐ เจะเหล่า นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักงานศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า การขุดสำรวจโบราณสถานบนเขาศรีวิชัย ได้บูรณะแล้ว 70-80 เปอร์เซ็นต์ และส่วนด้านล่างฝั่งทิศตะวันออกด้านวัดเขาศรีวิชัย อีก 3 จุด ได้บูรณะเสร็จแล้ว ส่วนด้านล่างฝั่งทิศตะวันตก ที่ขุดสำรวจ 2 จุดที่โบราณสถานหมายเลข 12-13 อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งหลักฐานสำคัญที่พบคือ ธรรมจักรและจักรสัมฤทธิ์ เกี่ยวข้องทั้งศาสนาพุทธและพราหมณ์ค่อนข้างมาก แสดงถึงว่าเป็นจุดที่บุคคลจากต่างถิ่น ต่างประเทศเดินทางเข้ามาติดต่อ ทั้งจากซีกฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก ตามความเชื่อที่ว่าจะต้องมาสักการะบูชาที่แห่งนี้ก่อนออกไปติดต่อทำมาค้าขาย
“พื้นที่ภาคใต้เขาศรีวิชัย จะเป็นที่รู้จักกันดีในวงการโบราณคดี ที่มีอายุในราวศตวรรษที่ 13-16 ที่มีความเก่าแก่มาก ซึ่งที่อื่นๆ ยังไม่เก่าแก่เท่านี้ ส่วนบริเวณโบราณสถานหมายเลข 12 ที่ยังขุดต่อไม่ได้จากแปลงที่ดินข้างเคียง คาดว่าน่าจะมีชิ้นส่วนที่เหลือของธรรมจักรที่แตกหักไป รวมทั้งฐานรองธรรมจักรที่มีรูปปั้นนก ที่ยังไม่พบ และสิ่งอื่นที่เกี่ยวกับจักรสัมฤทธิ์ชิ้นแรกของไทยด้วย” นายอภิรัฐ กล่าว
...
ด้าน ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ได้สำรวจเห็นแนวเขาศรีวิชัย ยาว 650 เมตร เป็นที่ตั้งโบราณสถานที่ยิ่งใหญ่อลังการมาก และมีการก่อสร้างตามทัศนคติความเชื่อของศาสนาที่เป็นต้นแบบของคนในสมัยโบราณเชื่อมโยงทั้งพระบรมธาตุไชยา, แหลมโพธิ์, พุมเรียง และพุนพิน ที่สำคัญเป็นการขุดค้นพบ จักรสัมฤทธิ์ ชิ้นแรกที่พบในประเทศไทย ที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ อันแสดงถึงความรุ่งเรืองของอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งอยู่ระหว่างการขุดสำรวจยังไม่เสร็จ
ต่อมา นายวิชวุทย์ ได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 72 หมู่ 1 ต.เขาศรีวิชัย อ.พุนพิน ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าโบราณสถานหมายเลข 12-13 เข้าขอบคุณนางกิ้มยวน ซัวต่อ อายุ 84 ปี เจ้าของบ้าน ที่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร เข้าขุดสำรวจในแปลงสวนผลไม้ จนพบธรรมจักร และจักรสัมฤทธิ์
โดย ยายกิ้มยวน กล่าวว่า ที่ดินแปลงนี้ได้รับต่อเนื่องมาตั้งแต่รุ่นปู่ของพ่อ มีสภาพเดิมเป็นป่า และตนได้มอบให้นายสมเกียรติ หลานชายรับต่อเป็นรุ่นที่ 4 ซึ่งหลานชายเต็มใจ และยินดีให้เจ้าหน้าที่กรมศิลปากรเข้ามาสำรวจ ซึ่งการได้ขุดพบธรรมจักร และจักรสัมฤทธิ์ในที่ดินหลังบ้าน เป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก ถือว่าได้มีส่วนร่วมกับทางราชการ และแผ่นดิน.