ชาวบ้านพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ จ.สงขลา เดือดร้อนหนัก หลังทางการบังคับขอคืนพื้นที่ที่เช่าบ้าน-ที่ทำมาหากินเลี้ยงชีพ ลั่นก่อนหน้านี้ไม่เคยดูแล ตอนนี้ยังมาซ้ำเติมกันอีก ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน...

วันที่ 13 ก.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีชาวบ้านในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ ม.2 เขตตำบลสำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ได้รับความเดือดร้อนจากการที่รัฐบาลมอบหมายให้ทางจังหวัดสงขลา อำเภอสะเดา และเทศบาลตำบลสำนักขาม ใช้กฎหมายบังคับขอคืนพื้นที่ที่เช่าบ้านจำนวน 120 คน เช่าที่ดินจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกรมธนารักษ์ เพื่อทำการเกษตรและการพาณิชย์

โดยกลุ่มคนที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก คือกลุ่มแม่บ้านชาวด่านนอก ซึ่งส่วนใหญ่ได้เช่าที่ดินปลูกพืชทำการเกษตรในเนื้อที่ 5 ไร่เป็นเวลากว่า 12 ปี จนสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ทุกวัน สามารถเลี้ยงครอบครัวและส่งลูกหลานเรียนหนังสือ แต่อยู่ๆ ทางการมาขอคืนพื้นที่จึงไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน

นางรัศมี สลุงใหญ่ อายุ 56 ปี หนึ่งในคนที่ได้รับความเดือดร้อน เปิดเผยว่า เดิมทีตนอาศัยอยู่ริมรั้วชายแดนไทย-มาเลเซีย ด้วยการจับจองสร้างเป็นที่อยู่อาศัยเมื่อปี 2545 ต่อมาทหารได้มีการจัดระเบียบริมรั้วขอคืนพื้นที่ จึงได้มาจับจองเช่าที่ของ ปปง.ดังกล่าว พร้อมได้นำสุนัขจรจัดที่ชาวบ้านทอดทิ้งจากริมรั้วชายแดนประมาณ 100 ตัวมาเลี้ยงด้วยความสงสาร ด้วยการทยอยขนด้วยรถซาเล้งด้วยตัวเองวันละ 2 ตัวทั้งกลางวันกลางคืนจนหมด พร้อมทำคอกป้องกันสุนัขออกมาเพ่นพ่าน

...

นางรัศมี กล่าวอีกว่า ค่าอาหารสุนัขเฉลี่ยวันละ 500 บาท จากรายได้การปลูกผัก เลี้ยงปลาดุก ปลานิล รับซื้อผักสวนครัวไปขายในตลาด เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ โดยไม่มีใครเหลียวแล ก่อนหน้านี้ตนเคยร้องขอไปยังปศุสัตว์อำเภอสะเดามาทำหมันก็ได้รับการเพิกเฉย และต้องจ้างสัตวแพทย์มาทำหมันสุนัขคิดค่าบริการตัวละ 1 พันบาท ทุกวันนี้ยังเป็นหนี้สินอยู่ นอกจากภาครัฐไม่ดูแล แต่ยังมาไล่ที่เพื่อเดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษ แล้วพวกสุนัขเหล่านี้จะเอาไปไว้ที่ไหน พร้อมทั้งชมรมแม่บ้านที่รวมตัวลงทุนไปหลายหมื่นบาท ปลูกพืชผลการเกษตรก็ได้รับความเดือดร้อนโดยไม่ได้รับการชดเชย หรือจัดหาที่ดินให้ ปล่อยลอยแพทุกคนที่เช่าที่ดินทำมาหากิน.