จบแล้วมหากาพย์กู้เรือกำปั่นพลังไอน้ำบรรทุกไวน์ไปส่งที่เวียงจันทน์ จมแม่น้ำโขงที่บึงกาฬเมื่อ 60 ปีก่อน ใช้เวลากู้กว่า 1 เดือน นำไปไว้วัดหลวงพ่อพระใหญ่ พบสมบัติไม่มาก น่าเสียดายเจอไวน์ขวดเดียว แต่โดนจอบแตก คอหวยแห่ส่องหาเลข...
วันที่ 23 เม.ย.59 ผู้สื่อข่าวรายงานจากวัดโพธาราม หรือวัดหลวงพ่อพระใหญ่ บ้านท่าไคร้ หมู่ที่ 5 ต.บึงกาฬ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ ซึ่งเป็นพระศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองบึงกาฬ ว่ามีประชาชนที่ทราบข่าวการกู้เรือกำปั่นสำเร็จและนำมาเก็บไว้ที่วัดหลวงพ่อพระใหญ่ ต่างหลั่งไหลไปชมเรือกำปั่นโบราณที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไอน้ำ 4 สูบ ซึ่งถูกลมพายุพัดจมลงสู่ก้นแม่น้ำโขง เมื่อราวๆ ประมาณเดือนสิงหาคม พ.ศ.2490 ทั้งกัปตันและลูกเรือต่างพากันว่ายน้ำขึ้นฝั่งหนีเอาตัวรอด ขณะที่ฝรั่ง 2 สามีภรรยากลับวิ่งเข้าไปในห้องนอนล็อกประตูขังตัวเองยอมตายสละชีพรักษาสินค้าและสมบัติของตัวเองที่บรรทุกมาจาก จ.นครพนม เพื่อจะนำไปขายต่อที่กรุงเวียงจันทน์ นครหลวงของประเทศ สปป.ลาว
เกือบ 1 ปีให้หลัง รองอำมาตย์ตรี ขุนอินทนิลารักษ์ หรือขุนอิน (เปลี่ยน นิละสมิต) ชาว จ.นครพนมได้เป็นผู้รับจ้างกู้เรือกำปั่นไอน้ำลำนี้ ในเดือนเมษายน พ.ศ.2491 แต่ล้มเหลว และในปี พ.ศ.2493 ก็มีความพยายามกู้เรืออีกเป็นครั้งที่ 2 โดยใช้สลิงลวดเหล็กขนาดราว 6 หุน วินซ์มัดติดกับต้นไม้ขนาดใหญ่แต่เรือมาติดตลิ่งหันท้ายชนฝั่ง ส่วนหัวเรือหันออกไปกลางน้ำโขง โดยหัวเรือไปเกยอยู่โขดหินทรายที่จมอยู่ใต้น้ำลึกประมาณ 6 เมตร จึงทำให้สลิงเหล็กขาดติดคาอยู่ที่เพลาเรือ ทำให้การกู้เรือครั้งที่ 2 ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ
...
ต่อมานายพงษ์ศักดิ์ ปรีชาวิทย์ ผวจ.บึงกาฬ ร่วมกับประชาชนบ้านท่าไคร้ หมู่ 5 ต.บึงกาฬ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ มีความประสงค์ที่จะกู้เรือกำปั่นโบราณลำนี้ขึ้นมาเก็บไว้เป็นสมบัติของชาวบึงกาฬให้ประชาชนได้ศึกษา จึงมีความพยายามกู้เรือลำนี้ขึ้นมาอีกเป็นครั้งที่ 3 โดยได้รับการสนับสนุนจากสถานีเรือ นรข.เขตหนองคาย สำนักงานโยธาและผังเมืองบึงกาฬ และ อบจ.บึงกาฬ ว่าจ้าง บริษัท อู่เล้งเซอร์วิส เป็นจำนวนเงิน 700,000 บาท ซึ่งเป็นเงินของวัดโพธาราม หรือวัดหลวงพ่อพระใหญ่บ้านท่าไคร้ที่ประชาชนมาร่วมทำบุญและช่วยกันบริจาค เพื่อมากู้เรือกำปั่น โดยใช้รถแบ็กโฮ 2 คัน รถเครน 25 ตัน 2 คัน ถังเหล็กขนาด 200 ลิตรจำนวน 200 ใบ มาสร้างเป็นทุ่นจึงสามารถนำเรือกำปั่นที่มีน้ำหนักรวมทั้งดินทรายทั้งน้ำประมาณ 100 ตันขึ้นมาจากก้นแม่น้ำโขง และลากขึ้นมาไว้ริมตลิ่งได้
แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถน้ำเรือขึ้นมาบนพื้นราบด้านบนเพื่อนำไปเก็บไว้ที่วัดได้ นายวีระ แก้วเทพ ผู้ใหญ่บ้านท่าไคร้ ที่นำลูกบ้านมาช่วยกันโกยทรายและสูบน้ำออกจากท้องเรือ จึงตัดสินใจยกเตาต้มไอน้ำที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตันออกจากกลางเรือก่อน โดยใช้ทั้งประแจคลายนอตและแก๊สเป่าตัดนอตยึดออก เนื่องจากหม้อต้มไอน้ำมีแท่งเหล็กใช้เก็บความร้อนเรียงกันอยู่เป็นชั้นๆ จำนวนมาก เมื่อยกเตาและหม้อต้มออกได้แล้ว จึงยกตัวเรือที่ยังมีเครื่องจักรขนาด 4 สูบติดอยู่ มีน้ำหนักรวมประมาณ 35 ตัน ขึ้นมาจากตลิ่งที่มีความสูง ประมาณ 5 เมตรได้สำเร็จ โดยใช้รถเครน 2 คันช่วยกันดึงและรถแบ็กโฮคอยพยุงอยู่ด้านล่างค่อยๆ ดันขึ้นมาข้างบนเป็นผลสำเร็จ ได้รับเสียงปรบมือแสดงความยินดีจากประชาชนจำนวนมากที่มาคอยชมการกู้เรือตลอดระยะเวลาเดือนเศษ
จากนั้นได้นำเรือขึ้นรถพ่วงลากไปเก็บไว้ที่วัดโพธาราม เพื่อให้เป็นสมบัติของชาวบึงกาฬ และประชาชนหรือบุตรหลานจะได้ศึกษาต่อไป ส่วนทรัพย์สินที่พบในเรือ นายวีระชัย ผู้ใหญ่บ้านเล่าว่า ที่พบมีปากกาหมึกซึมยี่ห้อดังจากฝรั่งเศส 1 ด้าม บรั่นดี 1 ขวด เหล้ายาดอง 1 ขวด ส่วนไวน์ 1 ขวดถูกจอบขุดแตก ยังมีกริชทองเหลือง ตลับทองเหลืองเก็บบุหรี่ รองเท้าหนังหลายคู่ ถังโลหะบรรจุน้ำมันขนาด 15 ลิตร 40 ถัง อยู่ในสภาพดี 25 ถัง กระดูกเชิงกรานมนุษย์
นอกจากนี้ ยังพบระเบิด อาร์พีจี 2 ลูก ระเบิดขว้าง 1 ลูก ส่วนทรัพย์สินเงินทองของมีค่าอื่นยังไม่พบ ซึ่งอาจจะมีแต่ถูกดูดออกไปทิ้งพร้อมกับทรายและน้ำ
“เสียดายไม่ได้ทำตะแกรงรองไว้ เนื่องจากท่อดูดมีขนาดใหญ่ทั้ง 4-6 นิ้ว ก้อนหินขนาดกำปั้นก็ยังถูกดูดออกไปได้ แต่ทรายยังเหลืออยู่ในท้องเรือสูงขนาด 50 ซม.จะต้องดูให้ละเอียดอีกครั้งก่อนจะตักไปทิ้ง” นายวีระชัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ชิ้นส่วนของเครื่องจักรในเรือกำปั่นโบราณที่ยกขึ้นมาก่อนและวางไว้ตรงลานจอดรด ได้รับความสนใจจากชมรมนักเสี่ยงโชคอยู่ตลอดเวลาไม่ขาดระยะท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนจ้า มีทั้งน้ำแดง อาหารคาวหวาน ดอกไม้ธูปเทียน พวงมาลัยครบสูตร และที่ขาดไม่ได้คือแป้งฝุ่นโรยตัว แต่นำมาโรยบนเครื่องจักรช่วยกันลูบช่วยกันคลำจนมันวาว
ท้งนี้ สมาชิกชมรมเสี่ยงโชค มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต่างใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปวิดีโอและภาพนิ่งไว้เป็นหลักฐาน ส่วนตัวเลขที่น่าสนใจ เป็นตัวเลข 1945 ซึ่งตรงกับ พ.ศ.2488 เป็นปีที่ผลิตเครื่องยนต์เรือลำประวัติศาสตร์นี้.