"พัชรวาท" ลุยตรวจเยี่ยมอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา พร้อมนั่งหัวโต๊ะคอนเฟอเรนซ์หารือแก้ฝุ่น PM 2.5 กับผู้ว่าฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ และมอบนโยบาย 6 ข้อปฏิบัติเร่งด่วนยกระดับการรับมือ และมาตรการฉุกเฉินในการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษในช่วงวิกฤติ

เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 67 พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เดินทางไปเป็นประธานมอบรางวัลในงาน World Heritage Series Run 2024 เขาใหญ่เพื่อผู้พิทักษ์ป่า ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จ.นครราชสีมา โดยมี นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พร้อมเจ้าหน้าที่ให้การต้อนรับ โดย พล.ต.อ.พัชรวาท ได้พบปะพูดคุยและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯ พร้อมกำชับเรื่องการดูแลไฟป่าให้เข้มงวดในช่วงนี้ และดูแลนักท่องเที่ยวให้ได้รับความสะดวกปลอดภัย

ต่อมาหลังจากมอบรางวัลแล้วเสร็จ พล.ต.อ.พัชรวาท ได้เป็นประธานการประชุมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์จากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มายังห้องประชุมชั้น 3 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เพื่อติดตามสถานการณ์การแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงฯ, นายเถลิงศักดิ์ เพ็ชรสุวรรณ และนางชญานันท์ ภักดีจิตต์ รองปลัดกระทรวงฯ, น.ส.ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ, นายสุรชัย อจลบุญ อธิบดีกรมป่าไม้ พร้อมผู้ว่าฯ และตัวแทนจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ เข้าร่วมประชุม ซึ่ง นายจตุพร ได้รายงานผลการดำเนินงานในการหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งประเทศเมียนมาและกัมพูชาตามที่ พล.ต.อ.พัชรวาท มอบหมายซึ่งทั้งสองประเทศพร้อมจะให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน และจากนี้จะมีเวิร์กช็อปร่วมกันด้วย ขณะเดียวกันช่วงวันนี้พบว่า มีจุดความร้อนจากเมียนมา 5502 จุด, กัมพูชา 1133 จุด, ลาว 664 จุด, และในประเทศ 730 จุด มีสัดส่วนจากป่ามากสุด 638 จุด และจุดความร้อนมากที่สุดคือ จ.เชียงใหม่

...

ด้าน น.ส.ปรียาพร ได้รายงานภาพรวมสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ว่า พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ระดับดีถึงปานกลาง สีเขียว สีเหลือง ส่วนพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ มีค่าเกินมาตรฐาน ส่วนใหญ่อยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพหรือสีส้ม จังหวัดที่ยังคงต้องเฝ้าระวังคือ จ.น่าน จ.แม่ฮ่องสอน และ จ.เชียงราย ซึ่งอยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพสีแดง ซึ่งสถานการณ์มีแนวโน้มที่จะบรรเทาลงช่วงระหว่างวันที่ 14-17 มี.ค.นี้ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ภาคเหนือช่วงนี้ เกิดจากปัจจัยจุดความร้อนจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก ดังนั้นจึงส่งผลต่อจังหวัดตามแนวชายแดน

ขณะที่ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ รายงานสถานการณ์ว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ปีนี้ดีขึ้น เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เนื่องจากได้ดำเนินการรับมืออย่างทันท่วงที พร้อมกับทางจังหวัดได้มีการตั้งรางวัลนำจับกับผู้ให้เบาะแสการเผาป่าด้วย จากเดิมสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลายช่วงปลายเดือน มี.ค.แต่ปีนี้ช่วงกลางเดือน ก.พ.ก็ดีขึ้นแล้ว

ด้าน พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์ฝุ่นเริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น ขอมอบนโยบายเพื่อให้ทุกหน่วยงานนำไปปฏิบัติ เพื่อยกระดับการรับมือและมาตรการฉุกเฉินในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในช่วงสถานการณ์วิกฤติ อย่างเร่งด่วนเต็มที่ เพื่อปกป้องสุขภาพของประชาชน ทำให้ประชาชนมีความมั่นใจให้กับประชาชน โดยเฉพาะการจัดการไฟในพื้นที่ป่า โดยเฉพาะพื้นที่มุ่งเป้า ทั้ง 11 ป่าอนุรักษ์ 10 ป่าสงวน พื้นที่เกษตรเผาไหม้ซ้ำซากทั้งในพื้นที่ป่า ในพื้นที่สูง ในพื้นที่ราบของ 17 จังหวัดภาคเหนือ ดังนี้ 1.ปรับรูปแบบการจัดกำลัง ดับไฟป่า ด้วยยุทธวิธี ผสมผสานทั้งการตรึงพื้นที่ ด้วยจุดเฝ้าระวังและการลาดตระเวน การส่งกำลังและดับไฟโดยอากาศยานเข้าถึงไฟให้เร็ว ควบคุมไม่ให้ขยายวงกว้างคุมแนวไฟและดับให้สนิท ให้วอร์รูมบัญชาการชุดปฏิบัติการดับไฟป่าตลอดเวลาที่มีการเข้าพื้นที่ 2.ติดตามสถานการณ์จุดความร้อน สนธิกำลังพลทั้งฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง และเครือข่ายทั้งระดับภาคพื้นและอากาศยาน ลาดตะเวน เฝ้าระวังอย่างเข้มข้น เมื่อพบต้องเร่งปฏิบัติการเพื่อเข้าควบคุมสถานการณ์โดยทันที แต่ต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ งดการใช้อาสาสมัครที่ไม่ได้รับการฝึกปฏิบัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสีย 3.สนับสนุนและบูรณาการทำงานอย่างเต็มที่เป็นหนึ่งเดียว กับศูนย์ปฏิบัติการระดับจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นศูนย์กลาง

...

พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวต่อว่า 4."ปิดป่า" ห้ามมิให้บุคคลเข้าไปในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และป่าสงวนแห่งชาติในพื้นที่สถานการณ์รุนแรง บังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาด ยกระดับการจับกุมดำเนินคดีกับผู้ลักลอบจุดไฟเผาป่า 5.สำหรับพื้นที่เกษตรต้องติดตามเฝ้าระวัง ประสานงานกับฝ่ายปกครองอย่างใกล้ชิด เพื่อลดและควบคุมไม่ให้เกิดการเผา และหากเกิดต้องควบคุมให้ได้โดยเร็ว และ 6.สื่อสารแจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นละอองอย่างทั่วถึง ทันท่วงทีเพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลที่รวดเร็ว ถูกต้อง สร้างความรู้ทำความเข้าใจกับประชาชนให้ปฏิบัติตนตามคำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสม และเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติการด้วยความ "แม่นยำ รวดเร็ว ทันท่วงที มีประสิทธิภาพ" และคำนึงถึงความปลอดภัย และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่ทำงานด้วยความเสียสละเหน็ดเหนื่อยเพื่อพี่น้องประชาชน