ญาติสาวไทยเสียชีวิตจากเหตุการณ์น้ำป่าและดินถล่มที่เมืองมุลคย็องชี ประเทศเกาหลีใต้ ทำได้เพียงวิดีโอคอลสวดอภิธรรมศพไปพร้อมกับพิธีเผาศพ โดยให้เพื่อนผู้ตายที่เกาหลีถ่ายวิดีโอช่วงก่อนทำพิธีส่งมาให้ ส่วนที่บ้านนิมนต์พระ 4 รูป มาสวดคล้ายพิธีสวดศพทั่วไป แม่วอนลูกเขยกลับบ้านมาก่อน เพราะยังมีลูกสาว 3 คนต้องดูแล  


เวลา 09.45 น. วันที่ 18 ก.ค. 66 นายสุชชัพ ชีระชลสุข สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา เขตอำเภอครบุรี เป็นประธานในพิธีสวดพระอภิธรรมศพของนางสาวพชรมน รัตน์กระโทก อายุ 33 ปี ชาวบ้านหนองแคทราย ต.ลำเพียก อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา แรงงานไทยที่เสียชีวิตจากเหตุน้ำป่าและดินถล่มที่เมืองมุลคย็องชี ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 66 ที่ผ่านมา ภายหลังจากที่ใช้วีซ่านักท่องเที่ยวเข้าไปทำงานดูแลผลผลิตทางการเกษตรให้กับนายจ้างมานานเกือบ 5 ปี พร้อมกับสามี ก่อนจะมาเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว ส่วนสามีเอาชีวิตรอดมาได้    

โดยหลังจากที่สามารถเก็บกู้ร่างผู้เสียชีวิตมาได้แล้วทางครอบครัวของนางสาวพชรมนฯ ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ทางสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล ประเทศเกาหลีไต้ ดำเนินการจัดพิธีฌาปนกิจศพที่เกาหลีใต้ ก่อนจะนำส่งอัฐิกลับคืนบ้านเกิด ซึ่งทางเกาหลีใต้ได้ทำพิธีฌาปนกิจศพ ในเวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับเวลา 10.00 น. ของประเทศไทย 

ก่อนที่จะทำการจุดไฟฌาปนกิจศพที่เกาหลีใต้ เพื่อนของผู้เสียชีวิตที่ทำงานอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้ ได้ทำการวิดีโอคอลผ่านมายังทางครอบครัวของนางสาวพชรมน ซึ่งทางครอบครัวก็ได้นิมนต์พระสงฆ์จำนวน 4 รูปมาทำพิธีสวดพระอภิธรรมศพที่บ้านเกิดเพื่อส่งดวงวิญญาณของนางสาวพชรมนสู่สรวงสวรรค์ ควบคู่ไปด้วย ที่บ้านเลขที่ 96 หมู่ 8 ต.ลำเพียก อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่ทางครอบครัวสามารถที่จะทำให้ผู้เสียชีวิตได้ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของบรรดาญาติสนิทมิตรสหายที่ต้องมาสูญเสียเสาหลักคนสำคัญไปในครั้งนี้ 

...

ขณะที่ลูกสาวของผู้เสียชีวิตทั้ง 3 คน ถึงแม้จะมีความเสียใจจากการสูญเสียแม่ไป แต่ก็มีสีหน้าอาการดีขึ้นมากจากก่อนหน้านี้ ขณะที่แม่ของผู้ตายยังทำใจไม่ได้กับการสูญเสีย แต่ก็รู้สึกดีที่สามารถทำบุญกุศลส่งลูกได้ในครั้งนี้ ถึงแม้จะทำได้เพียงผ่านทางมือถือและผ่านความนึกคิดก็ตาม ซึ่งการวิดีโอคอลสามารถทำได้ก่อนพิธีเผาศพเท่านั้นเพราะในขณะที่ดำเนินพิธีไม่อนุญาตให้บันทึกภาพได้

นางสมพงษ์ รัตน์กระโทก มารดาผู้เสียชีวิตกล่าวว่า วันนี้รู้สึกดีที่มีโอกาสได้ทำบุญส่งกุศลให้กับลูกสาว แต่สภาพจิตใจนั้นยังไม่สามารถทำใจได้กับการสูญเสียในครั้งนี้ ไม่เคยคิดเคยฝันว่าจะมีวันนี้ โดยเฉพาะการที่สูญเสียลูกแล้วแต่ไม่มีโอกาสที่จะได้เห็นหน้าหรือกอดลูกเป็นครั้งสุดท้าย อีกทั้งตอนนี้ยังเหลือเรื่องที่ต้องเป็นห่วงอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการศึกษาของหลานสาวทั้ง 3 คนที่อายุยังน้อย คนโตอายุ 13 ปี คนรอง อายุ 10 ปี และคนเล็กอายุ 7 ปี ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร แต่ก็ต้องพยายามส่งเสียให้ดีที่สุด ส่วนลูกเขยที่ยังมีชีวิตรอด ตอนนี้อยากให้กลับมาดูแลครอบครัวดูแลลูกๆ ไปก่อน เพราะลูกก็สูญเสียแม่ไปแล้ว ซึ่งก็ต้องรอการตัดสินใจหลังจากที่พิธีศพเสร็จสิ้นแล้ว ส่วนในเรื่องของค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะต้องใช้เงินในการดำเนินการจัดพิธีศพและค่าเดินทางนำอัฐิกลับบ้านเกิดประมาณ 1.5 แสนบาท เบื้องต้นทางนายจ้างรับปากที่จะดูแลให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ด้วยการที่นายจ้างเองก็สูญเสียมากอยู่แล้วทางครอบครัวก็พร้อมที่จะสมทบหากขาดเหลือหรือติดขัดในส่วนใด เพื่อที่จะต้องการให้ลูกสาวได้กลับบ้านโดยเร็วที่สุด  

ขณะเดียวกัน ทราบข่าวว่ามีกลุ่มคนบางกลุ่มได้ทำการประชาสัมพันธ์ของรับบริจาคเงินมาช่วยเหลือครอบครัวนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ทางครอบครัวไม่เคยเปิดรับบริจาคเงินหรือสิ่งของแต่อย่างใด หากจะมีก็เพียงน้ำใจจากเพื่อนบ้านที่พากันแวะเวียนมาให้กำลังใจและช่วยเหลือถึงบ้านเท่านั้น ส่วนที่เหลือครอบครัวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด