สองสาวนักธุรกิจสร้างบ้านขายให้กำลังพลกองทัพบก หอบหลักฐานร้องเลขาฯ รมว.ยธ.ขอเข้าโครงการคุ้มครองพยาน หลังถูกข่มขู่ถึงชีวิต เหตุไปรู้ความจริงกรณีกำลังพลกู้เงินซื้อบ้านสวัสดิการ ทบ. โดนหักเงิน 2 ก้อนเข้ากระเป๋านายทหารใหญ่ยศนายพล เป็น 1 ในชนวนเหตุคดีสะเทือนขวัญ “จ่าคลั่ง” กราดยิงในห้างเทอร์มินอล 21 โคราช
ที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 17 ต.ค. นายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความพา น.ส.ก้อย (นามสมมติ) น.ส.เบิร์ด (นามสมมติ) ในฐานะผู้เสียหายที่เป็นผู้ประกอบการสร้างบ้านพักขายให้กับกำลังพลกองทัพบก เดินทางเข้าพบว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการ รมว.ยุติธรรม เพื่อยื่นคำร้องขอเข้าโครงการคุ้มครองพยานพร้อมหลักฐาน อาทิ ภาพจากกล้องวงจรปิดและเอกสารต่างๆ หลังถูกนายทหารยศนายพลของกองทัพบกข่มขู่คุกคามเพราะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินของกรมสวัสดิการกองทัพบกที่ไม่เป็นธรรมและเป็นเหตุให้ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ทหารสังกัดกองพันสรรพาวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ก่อเหตุกราดยิงมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ก่อนถูกวิสามัญฆาตกรรมในห้างเทอร์มินอล 21 จ.นครราชสีมา เหตุเกิดระหว่างวันที่ 8-9 ก.พ.63
นายไพศาลกล่าวว่า พาผู้เสียหายทั้ง 2 คนมาขอคุ้มครองพยาน หลังถูกนายทหารยศนายพลรายหนึ่งข่มขู่จะทำอันตรายจนถึงชีวิตเพราะทราบเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับกำลังพลของกองทัพบกกู้ยืมเงินซื้อบ้านจากกรมสวัสดิการทหารบก ซึ่งกรมสวัสดิการ ทหารบกอ้างว่าจะต้องหักค่าธรรมเนียมเข้ากองทัพบก 5 เปอร์เซ็นต์ กรณีบ้านราคา 1 ล้านบาท กำลังพลต้องกู้ในวงเงิน 1,500,000 บาท จะถูกหักค่าธรรมเนียมกองทัพบก 5 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงิน 75,000 บาท โดยผู้กู้ไม่ทราบการหักเงินตรงส่วนนี้ นอกจากนี้ยังมีการหักค่าเงินส่วนต่างอีกประมาณ 4 แสนบาท อ้างว่าต้องเก็บไว้เป็นค่าตกแต่งบ้าน ทำให้เงินหายจากที่ได้รับจริง 2 ก้อนคือส่วนที่ถูกหัก 5 เปอร์เซ็นต์และส่วนที่หักอีก 4 แสนบาท กรณีนี้ทำให้ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา เข้าใจผิดคิดว่าเงินทั้ง 2 ส่วนไปอยู่กับผู้ประกอบการ เลยไปทวงถามเงินกับผู้ประกอบการคือนางอนงค์ หรือป้านงค์ มิตรจันทร์ อายุ 62 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น ประกอบกับบ้านที่ซื้อยังสร้างไม่เสร็จ ระบบน้ำไฟต่างๆก็ยังไม่พร้อม เกิดความไม่พอใจสติแตกก่อเหตุสะเทือนขวัญครั้งนั้น
...
“ประเด็นสำคัญคือเงินที่ถูกหัก 5 เปอร์เซ็นต์จากกรมสวัสดิการกองทัพบกนั้นหายไปไหนหรือส่งต่อให้ผู้ใด นอกจากนี้ กำลังพลที่กู้เงินเกิดความเข้าใจผิดมาทวงถามเงินคืนจากผู้ประกอบการทั้งๆที่เงินถูกหักมาตั้งแต่กรมสวัสดิการกองทัพบกแล้ว ทั้งนี้ ยังมีกำลังพลอีกหลายนายได้รับผลกระทบจากการที่ถูกหักเงินดังกล่าว ทำให้ผมหวั่นใจจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก” นายไพศาลกล่าว
ด้าน น.ส.ก้อย (นามสมมติ) 1 ในผู้ยื่นคำร้องขอเข้าโครงการคุ้มครองพยาน เปิดเผยว่า เป็นผู้ประกอบการสร้างบ้านขายให้กับกำลังพลกองทัพบก ประเด็นเงินที่ถูกหัก 5 เปอร์เซ็นต์นั้นเจ้าหน้าที่ของกรมสวัสดิการทหารบกอ้างเป็นค่าธรรมเนียมของกองทัพบกทั้งที่ไม่มีระเบียบการจัดเก็บเงินดังกล่าวแต่อย่างใด เมื่อตรวจสอบข้อมูลพบเป็นการทุจริตเก็บเงินเข้ากระเป๋าตัวเองของนายทหารนายหนึ่งในกรมสวัสดิการทหารบก
ขณะที่ ว่าที่ ร.ต.ธนกฤตกล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงยุติธรรมเตรียมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบกระบวนการกู้ยืมเงินของกรมสวัสดิการทหารบกว่าเป็นอย่างไรและมีขั้นตอนใดบ้าง พร้อมให้กรมคุ้มครองสิทธิฯ ดูแลคุ้มครองพยาน นอกจากนี้จะให้ฝ่ายกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมตรวจสอบข้อกฎหมายสามารถดำเนินคดีในข้อหาใดได้บ้างหากพบการเรียกรับผลประโยชน์จริง
มีรายงานว่า น.ส.ก้อย ผู้ประกอบการสร้างบ้านพักขายให้กับกำลังพลกองทัพบก มีโครงการอยู่ที่ จ.ลพบุรี รวม 409 หลัง ราคาบ้านอยู่ระหว่าง 1.5-3 ล้านบาท ส่วน น.ส.เบิร์ด ผู้ประกอบการสร้างบ้านพักขายให้กับกำลังพลกองทัพบก มีโครงการอยู่ที่ จ.ยโสธร จ.อุบลราชธานี จ.ร้อยเอ็ด จ.นครราชสีมา สร้างบ้านรวมกันประมาณ 300 หลัง ขายไปแล้วกว่า 200 หลัง ราคาบ้านอยู่ที่ 1.5-2 ล้านบาท