ทหารหน่วย ฉก.สิงหนาท ยืนยันสถานการณ์ชายแดนด้าน อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน ไม่ตึงเครียด ชาวบ้านทั้งสองฝั่งยังใช้ชีวิต-ทำการซื้อขายกันปกติ

จากกรณีมีกระแสข่าวในโลกโซเชียลระบุว่า กองกำลังกลุ่มติดอาวุธกลุ่มว้าแดง (UWSA) ได้เข้ามาตั้งฐานประจำการล้ำเข้ามาในเขตแดนไทย บริเวณแนวชายแดนด้าน อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน โดยไม่ยอมถอนกำลังออกไปตามที่ฝ่ายไทยได้แจ้งเตือน และเกิดความตึงเครียด มีแนวโน้มว่าทั้งสองฝ่ายอาจมีการสู้รบกันเกิดขึ้นนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 67 แหล่งข่าวระดับสูงของฝ่ายไทย ออกมายืนยันว่าสถานการณ์ชายแดนด้านจังหวัดแม่ฮ่องสอนทุกช่องทาง ไม่มีความตึงเครียดและไม่พบความเคลื่อนไหวของชนกลุ่มน้อย ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ ไม่ได้มีความขัดแย้งใดตามแนวชายแดน จึงขอให้นักท่องเที่ยวและประชาชนอย่าได้ตื่นตระหนกกับกระแสข่าวที่เกิดขึ้น เพราะไม่เป็นความจริง ที่ผ่านมาปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดน ถึงแม้จะมีกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่เคยมีอะไรรุนแรง ทุกอย่างทางการระดับท้องถิ่นสามารถคลี่คลายและแก้ปัญหาเป็นไปในแนวทางที่ดี

...

อย่างไรก็ตาม หลังข่าวความขัดแย้งดังกล่าวถูกนำเสนอออกไป หน่วยเฉพาะกิจสิงหนาทที่รับผิดชอบชายแดนด้านจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ตรวจสอบข้อมูลข่าวสารทันที ก่อนจะชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนให้ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นทราบว่า ปัจจุบันยังอยู่ในภาวะปกติ และยังไม่มีสั่งการใด ๆ ในการปฏิบัติตามที่มาในข่าวทางสื่อโซเชียลดังกล่าว และที่ผ่านมา หน่วยเฉพาะกิจสิงหนาทได้พบปะพัฒนาสัมพันธ์ และประสานความร่วมมือในระดับฐานปฏิบัติการกับกองกำลัง UWSA อยู่ต่อเนื่อง ด้านประชาชนตามแนวชายแดนยังคงมีการแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าประเภทเครื่องอุปโภคบริโภคกันเป็นปกติ

ขณะที่ แหล่งข่าวในเขตรัฐฉานใต้ระบุว่า สถานการณ์ตามแนวชายแดนที่อยู่ตรงข้าม อ.ปางมะผ้า อ.ปาย ของไทย ทุกอย่างยังคงเป็นไปตามปกติ ไม่พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มว้าแดงที่อยู่ติดกันกับกองทัพกู้ชาติแห่งรัฐฉาน นอกจากนี้ยังพบว่า ราษฎรทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเขตพื้นที่ยึดครองของว้าแดง หรือของกลุ่มไทใหญ่ยังคงไปมาหาสู่และค้าขายระหว่างกันอย่างดี

ด้าน ชาวแม่ฮ่องสอน ที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน มองว่า การนำเสนอข่าวความขัดแย้งตามแนวชายแดนแม่ฮ่องสอนในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงใกล้วันครบรอบวันปีใหม่ ของกองทัพรัฐฉาน ที่กำหนดจัดขึ้นทุกปีในวันที่ 1 ธันวาคม อาจมีการปล่อยข่าวเพื่อเป็นการสร้างกระแสกดดันกันเองของชนกลุ่มน้อยในฝั่งประเทศเมียนมาเท่านั้น