โฆษก ปชป.ชิงแถลงปมร้อน หลังเพจดังโพสต์คลิปฉาวอดีตผู้สมัคร สส.หญิงแอบเล่นชู้กับพระมหาหนุ่มลูกบุญธรรม สามีอ้างจับได้คาหนังคาเขา ขณะทั้งคู่นอนเปลือยกายกอดกันบนเตียงในบ้าน เผยโทร.ไปหาถึง 3 รอบแต่ไม่รับสาย ยันเป็นแค่สมาชิกไม่มีตำแหน่งใดๆในพรรค สั่งตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงให้กระจ่างใน 3 วัน หากผิดจริงถูกขับพ้นพรรคแน่ ด้านฝ่ายหญิงผู้ถูกกล่าวหาปรึกษาทีมทนายจ่อตั้งโต๊ะแถลง ติงสังคมต้องให้ความเป็นธรรมและฟังความสองด้าน “ผอ.พศ.” ระบุพระมหาสึกไปแล้ว ย้ำกลับมาบวชใหม่ไม่ได้ตลอดชีวิต เพราะต้องอาบัติปาราชิก
กลายเป็น “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” สะเทือนวงการผ้าเหลืองและแวดวงการเมือง กรณีเพจ “อีซ้อขยี้ข่าว” โพสต์คลิปฉาว พร้อมระบุข้อความอ้างว่า “พระมหาหนุ่มวัย 24 ปี เสพเมถุนกับแม่บุญธรรมวัย 45 ปี ด้านสามีเกิดระแคะระคายแอบขับรถจากกรุงเทพฯ กลับมาที่บ้านที่ต่างจังหวัดและได้ถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน ก่อนที่จะถูกทั้ง 2 คน ลุกจากเตียง วิ่งเปลือยกายจะเข้ามาทำร้ายร่างกาย แต่สามีพยายามเข้ามายื้อแย่งโทรศัพท์เอาไว้” จนเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันในโลกออนไลน์นั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 11 เม.ย. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรค ปชป. แถลงข่าวถึงกรณีคลิปวิดีโอที่อ้างว่าเป็นอดีตผู้สมัคร สส. พรรค ปชป. มีความสัมพันธ์กับพระภิกษุปรากฏในโซเชียลมีเดียว่า พรรคทราบเรื่องแล้วไม่ได้นิ่งนอนใจ รายงานให้นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรค ปชป.ทราบแล้ว และมีคำสั่งให้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าบุคคลที่อ้างดังกล่าวเป็นสมาชิกพรรคจริง ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค.66 จนถึงปัจจุบัน หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาไม่ได้ร่วมทำกิจกรรมทางการเมืองใดๆกับพรรคอีก และไม่ได้มีตำแหน่งในพรรค ปชป.แต่อย่างใด
...
“หลังทราบเรื่องได้โทร.ไปหาสมาชิกคนดังกล่าวถึง 3 รอบ แต่ไม่รับสาย เมื่อช่วงเช้าโทร.ไปอีก ยังไม่สามารถติดต่อได้ ในวันนี้คณะกรรมการจะสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมให้เสร็จสิ้นภายใน 3 วัน จากนั้นจะรายงานกรรมการบริหารของพรรคพิจารณาต่อไป หากพบว่าสมาชิกพรรคคนดังกล่าวฝ่าฝืนข้อบังคับพรรคจะลงโทษถึงขั้นพ้นจากความเป็นสมาชิกพรรค เนื่องจากในข้อบังคับพรรคระบุไว้ชัดเจนว่า สมาชิกพรรคจะต้องปฏิบัติตนอยู่ในกรอบจริยธรรม คุณธรรม ศีลธรรม และวางตนเป็นที่เชื่อถือ ศรัทธาของประชาชนและข้อบังคับพรรคยังให้ความสำคัญในเรื่องการเป็นแบบอย่างที่ดีในการเสริมสร้างสถาบันครอบครัวอีกด้วย ขณะเดียวกันจะต้องสอบถามข้อมูลจากชายที่อ้างตัวเป็นสามีด้วย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนในครอบครัว” โฆษกพรรค ปชป.กล่าว
วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่วัดไร่อ้อย ต.ไร่อ้อย อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ หลังทราบข้อมูลว่าพระรูปดังกล่าวเป็นพระลูกวัดแห่งนี้ และได้พบกับพระวิรัตน์ โชติโก ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่อ้อย เปิดเผยว่า พระรูปดังกล่าวมาจาก จ.เชียงใหม่ มาขออาศัยอยู่ที่วัดไร่อ้อยเมื่อเดือน ก.พ.67 อ้างว่าจะมาดูแลโยมตาที่ป่วยอยู่บ้านใน อ.ศรีนคร จ.สุโขทัย เพราะวัดไร่อ้อย อ.พิชัย ใกล้กับ อ.ศรีนคร เป็นเขตติดต่อกัน ระยะทางประมาณ 15 กม. หลังจากเจ้าอาวาสอนุญาตให้อยู่ที่วัดไร่อ้อยได้ปรากฏว่าพระรูปดังกล่าวไม่ค่อยอยู่วัดจะไปๆมาๆตลอด อ้างว่าไปปฏิบัติธรรม เห็นว่ามีรถเก๋งสีแดงมารับออกนอกวัดเป็นประจำ ไม่ทราบว่าโยมที่มารับเป็นใคร ต่อมาเมื่อวันที่ 22 มี.ค. พระหนุ่มรูปนี้ได้บอกกับเจ้าอาวาสว่าจะมาขอลาสิกขา แต่ไม่ทราบสาเหตุ อาตมาถามว่าทำไมถึงลาสิกขา เพราะพระรูปนี้มีความรู้ความสามารถ เล่าเรียนได้เป็นถึงมหาเปรียญ พระรูปนี้บอกมีปัญหาเรื่องส่วนตัว และไม่ทราบว่ากลับไป อ.ศรีนคร จ.สุโขทัย หรือไม่
“ส่วนเรื่องที่พระมหารูปนี้มีเรื่องราวอื้อฉาวตามสื่อโซเชียลนั้น อาตมาเพิ่งทราบจากนักข่าวที่มาขอสัมภาษณ์เช่นกัน ในฐานะผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไร่อ้อย ยืนยันได้ว่าเรื่องที่พระมหาที่ตกเป็นข่าวไม่ได้เป็นพระลูกวัดไร่อ้อย และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางวัดแต่อย่างใด รวมทั้งข้อครหาที่ว่ามั่วสีกาเหตุการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นที่วัดไร่อ้อยแน่นอน พระรูปนี้แค่มาขอจำวัดอยู่ชั่วคราวเท่านั้น อยากให้ญาติโยมที่เสพสื่อทุกด้านอย่าไปเชื่อข้อมูลทั้งหมด ต้องใช้วิจารณญาณด้วย มิฉะนั้นจะทำให้วัดเกิดความเสียหายได้” พระวิรัตน์กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานหลังข่าวดังกล่าวเผยแพร่สะพัดออกไป ทำให้ทุกคนพุ่งเป้าไปที่นักธุรกิจสาวคนหนึ่งที่เคยเป็นผู้สมัคร สส.จังหวัดทางภาคเหนือของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะหลังมีข่าวอื้อฉาวได้หลบหน้าหายออกจากบ้านในตัวเมืองและปิดโทรศัพท์มือถือไม่สามารถติดต่อได้ ล่าสุดมีรายงานจากแหล่งข่าวคนใกล้ชิดว่า ขณะนี้นักธุรกิจสาวคนดังกล่าว ได้เตรียมทีมทนายความฝีมือดีจากกรุงเทพฯ เพื่อมาเปิดแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว และมีข้อมูลว่าชายผู้นำคลิปไปเผยแพร่ไม่ใช่สามีที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายของหญิงสาวรายนี้แต่อย่างใด อีกทั้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นอาจเป็นการแบล็กเมล์กันทางธุรกิจ สังคมจะต้องให้ความเป็นธรรมและฟังความจริงจากปากของผู้ถูกกล่าวหาด้วย
ด้านนายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าพระมหารูปดังกล่าวเคยเป็นรักษาการเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งใน อ.ทุ่งเสลี่ยม จ.สุโขทัย แต่ลาสิกขาไปตั้งแต่วันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา ส่วนเหตุการณ์ความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับอดีตนักการเมืองหญิง วัย 45 ปีเกิดขึ้นตั้งแต่เดือน ก.พ. แม้ว่าอดีตพระมหารูปดังกล่าวจะสึกไปแล้ว แต่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นในขณะที่ยังดำรงสมณเพศเป็นพระเสพเมถุน หรือการมีเพศสัมพันธ์ ถือว่าผิดวินัยสงฆ์ขั้นร้ายแรง ต้องอาบัติปาราชิก การเอาผิดขึ้นอยู่กับผู้เสียหายว่าต้องการจะดำเนินคดีหรือไม่ แต่ในส่วนขั้นตอนการลงโทษของพระไม่สามารถดำเนินการได้แล้ว ทำได้เพียงไม่ให้กลับมาบวชใหม่ได้เท่านั้น
...
“พศ.จะนำข้อมูลพฤติกรรมของอดีตพระมหารูปดังกล่าวใส่ลงในฐานข้อมูลของพระสงฆ์และจะเชื่อมโยงข้อมูลกับเลข 13 หลักในบัตรประชาชน หากอดีตพระมหาคนนี้จะไปบวชใหม่ จะไม่สามารถทำได้แล้ว เพราะก่อนจะบวชพระอุปัชฌาย์ต้อง ตรวจสอบข้อมูลประวัติอาชญากรรม และข้อมูลจากบัตรประชาชนด้วย จะทำให้ทราบว่าอดีตพระมหาคนนี้เคยมีประวัติผิดวินัยสงฆ์ ต้องอาบัติปาราชิก ไม่สามารถบวชใหม่ได้อย่างแน่นอน” นายอินทพรกล่าว
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่