"เพชรบูรณ์" ปธ.กลุ่มเกษตรอินทรีย์ฯ เผยประโยชน์ "อ่างเก็บน้ำห้วยป่าเลา" หลังสร้างแล้วเสร็จ ทำให้เกษตรกรในพื้นที่มีน้ำใช้เพียงพอทั้งปี เพาะปลูก-เลี้ยงสัตว์ได้ไม่ขัดสน สร้างรายได้ยั่งยืนได้แบบรายวัน-รายปี

เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยป่าเลาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเหนือเขื่อนป่าสัก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ลักษณะเป็นเขื่อนดิน ขนาดความจุ 8.4 ล้านลูกบาศก์เมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2551 สามารถช่วยเหลือพื้นที่ชลประทานของอ่างเก็บน้ำห้วยป่าเลาฯ จำนวน 1,020 ไร่ ช่วยเหลือพื้นที่ชลประทานฝั่งซ้ายของอ่างเก็บน้ำห้วยป่าแดง จำนวน 1,500 ไร่ ในพื้นที่ตำบลป่าเลา และตำบลสะเดียง รวมทั้งยังเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำรอง เพื่อการผลิตน้ำประปาสำหรับอุปโภคบริโภคของชาวบ้านในพื้นที่

สำหรับประชากรในพื้นที่ส่วนใหญ่นั้น ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด และทำปศุสัตว์ในครัวเรือนเป็นอาชีพเสริม เช่น เลี้ยงไก่ เป็ด สุกร โค และกระบือ  ทำเกษตรตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 และได้สืบสานต่อรัชกาลที่ 10 ด้วยการทำเกษตรผสมผสาน ซึ่งได้รับอานิสงส์จากโครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 จากน้ำในอ่างเก็บน้ำห้วยป่าเลา ในการทำเกษตร ปีนี้ฝนตกต้องตามฤดูกาล จึงทำให้อ่างกักเก็บน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรได้อย่างเพียงพอตลอดทั้งปี

...

โดย นายมานะ สุทนต์ ประธานกลุ่มเกษตรอินทรีย์ PGS เพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า เกษตรกรมีการรวมกลุ่มทำการผลิต และการตลาดร่วมกันทั้งจังหวัดในนามเกษตรอินทรีย์ PGS เพชรบูรณ์ มีสมาชิก จำนวน 30 ราย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกรมส่งเสริมการเกษตร โดยสำนักงานเกษตรจังหวัดเพชรบูรณ์ เข้ามาสนับสนุนในด้านต่างๆ ตั้งแต่การฝึกอบรมเพิ่มเติมความรู้เกี่ยวกับการเพาะปลูกอย่างถูกวิธี ไปจนถึงการแก้ปัญหาเรื่องโรคพืช ส่วนกรมพัฒนาที่ดินได้เข้ามาส่งเสริมการทำปุ๋ยหมักโดยใช้สารเร่ง พด.ต่างๆ และมอบกากน้ำตาลให้ใช้ทำปุ๋ยหมัก ตลอดถึงการส่งเสริมด้านการตลาด โดยมีพัฒนาชุมชนและพาณิชย์จังหวัด เข้ามาสนับสนุน ทำให้ผลผลิตของเกษตรกรมีตลาดรองรับ และมีรายได้อย่างต่อเนื่อง

"กลุ่มมีพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 2,000 ไร่ สมาชิกแต่ละรายมีรายได้ประมาณ 500-700 บาทต่อวัน ต่างจากเมื่อก่อนที่ไม่มีรายได้ เพราะไม่มีน้ำเพียงพอในการเพาะปลูก แต่หลังจากโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยป่าเลาอันเนื่องมาจากพระราชดำริแล้วเสร็จ ทำให้เกษตรกรมีน้ำเพียงพอทั้งปี สามารถเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ได้อย่างไม่ขัดสน มีรายได้ทั้งแบบรายวันและรายปี" นายมานะ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ต.ค.ที่ผ่านมา นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี ประธานอนุกรรมการติดตามและขับเคลื่อนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมด้วย นางสุพร ตรีนรินทร์ รองเลขาธิการ กปร. รักษาราชการแทนเลขาธิการ กปร. และคณะอนุกรรมการฯ ได้เดินทางไปติดตามการดำเนินงานโครงการฯ ซึ่งในวันนั้น องคมนตรี ได้กล่าวกับประชาชนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการฯว่า ดีใจที่เห็นการเก็บกักน้ำของอ่างฯ มีปริมาณน้ำมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ และได้รับรายงานจากกรมชลประทานว่า จะมีการเสริมระดับการเก็บกักน้ำของอ่างเพิ่มขึ้นด้วย การสร้างฝายพักน้ำไว้บริเวณฝายน้ำล้น เพื่อเพิ่มปริมาณการเก็บกักน้ำในช่วงน้ำมากได้เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยลดปริมาณและความแรงของน้ำในช่วงน้ำหลาก ทำให้พื้นที่ทำกินของประชาชนที่ได้รับความเสียหาย ค่อยๆระบายน้ำออกในช่วงหน้าแล้ง ซึ่งจะทำให้การทำกินของประชาชนในพื้นที่ นอกจากจะทำได้ตลอดทั้งปีแล้ว ยังสามารถขยายพื้นที่ได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น

"นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณของล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีพระราชดำริให้สร้างอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด โดยอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จให้ประโยชน์แก่ประชาชนมาร่วมกว่า 10 ปี ต่อจากนี้จะมีการต่อยอดเพิ่มพื้นที่ และจำนวนการได้รับประโยชน์ของประชาชนเพิ่มขึ้น ที่สำคัญทุกคนจะต้องช่วยกันดูแลพื้นที่ โดยเฉพาะป่าบริเวณเหนืออ่างเก็บน้ำ เพื่อให้มีความสมบูรณ์เพราะบริเวณนั้นคือแหล่งน้ำต้นทุนสำหรับการเก็บกักน้ำของอ่างเก็บน้ำ" องคมนตรี กล่าว

...

นอกจากนี้ โครงการอ่างเก็บน้ำห้วยป่าเลาฯ ยังเป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาแหล่งน้ำเหนือเขื่อนป่าสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ลักษณะเป็นเขื่อนดิน ขนาดความจุ 8.4 ล้านลูกบาศก์เมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2551 สามารถช่วยเหลือพื้นที่ชลประทานของอ่างเก็บน้ำห้วยป่าเลาฯ จำนวน 1,020 ไร่ ช่วยเหลือพื้นที่ชลประทานฝั่งซ้ายของอ่างเก็บน้ำห้วยป่าแดง จำนวน 1,500 ไร่ ในพื้นที่ตำบลป่าเลา และตำบลสะเดียง รวมทั้งยังเป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำรองเพื่อการผลิตน้ำประปา สำหรับอุปโภคบริโภค

ทั้งนี้ เพื่อให้โครงการเกิดประสิทธิภาพ และสนองพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการสืบสาน รักษา และต่อยอดโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จึงกำหนดจัดทำโครงการเพิ่มศักยภาพการเก็บกักอ่างเก็บน้ำห้วยป่าเลาฯ เพื่อเพิ่มปริมาณการกักเก็บน้ำจาก 8.4 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น 9.97 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อเพิ่มน้ำต้นทุนในการเพาะปลูกให้แก่เกษตรกรในช่วงฤดูแล้ง สามารถส่งน้ำสนับสนุนการเพาะปลูกพืช จำนวน 4,500 ไร่ และช่วยเพิ่มผลผลิตของพืช เนื่องจากมีน้ำเพียงพอและสม่ำเสมอ อีกทั้งเพื่อรองรับการขยายตัวด้านอุปโภคบริโภคของประชาชน ที่จะเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอีกด้วย

...