ไม่บ่อยนักที่ผมจะเขียนติดต่อกันในเรื่องเดียวกันแบบ “มินิซีรีส์” ดังเช่นที่เขียนถึง “น่านแซนด์บ็อกซ์” โครงการทดลองเพื่อฟื้นฟูป่าน่านมาตลอดสัปดาห์นี้

เหตุผลข้อแรกเพราะผมจะต้องเดินทางไปทัศนศึกษาหาความรู้ดูเขื่อนไฟฟ้าพลังนํ้าที่ ไซยะบุรี แถมด้วยการไหว้พระเพื่อความเป็นสิริมงคลที่ หลวงพระบาง สปป.ลาว หลายวัน จำเป็นต้องเขียนต้นฉบับ ล่วงหน้า

ข้อสอง ถ้าท่านผู้อ่านจำได้ ผมเขียนเรียกร้องมาตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงหลังโควิด-19 ระบาดรอบแรกที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเสียหายอย่างย่อยยับรวมทั้งเศรษฐกิจไทย

ผมก็เอามาเขียนเป็นเชิงเสนอแนะว่า ถึงเวลาแล้วที่พลัง “ภาคเอกชน” โดยเฉพาะท่านเอกอัครมหาเศรษฐีทั้งหลายของประเทศไทยจะต้องมาช่วย ภาครัฐบ้าง เพราะสถานการณ์และการประเมินในช่วงเวลานั้นน่าจะเหลือกำลังที่ฝ่ายรัฐข้างเดียวจะรับภาระได้

เอ่ยถึงอัครมหาเศรษฐี 1 ใน 10 ราย ที่ นิตยสารฟอร์บส์ ประกาศยกย่องในแต่ละปีว่ารวยที่สุดในประเทศไทยว่านี่คือโอกาสที่ท่านจะตอบแทนพระคุณแผ่นดินไทย

จากนั้นผมก็เขียนถึงเศรษฐีคนโน้นคนนี้ที่ออกมาช่วยเหลือบ้างประปราย จำไม่ได้แล้วว่าเขียนถึงใครบ้าง

แต่ที่เขียนถึงบ่อยๆก็คือ คุณ บัณฑูร ล่ำซำ ประธานธนาคารกสิกรไทย ที่ยื่นมือมาช่วยจังหวัดน่าน จังหวัดที่ยากจนจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย และมีปัญหาการบุกรุกทำลายป่ามากที่สุด (โดยเกษตรกรยากจน)

ตรงกับ “สูตร” คนรวยช่วยคนจน ที่ผมเรียกร้องเอาไว้ข้างต้น

แม้ข้อเรียกร้องให้คนรวยช่วยคนจนของผมจะเกิดขึ้นในช่วงโควิด-19 ระบาด เพื่อขอให้ช่วยแก้ไขผลกระทบทางเศรษฐกิจจากพิษสงของโควิดเป็นหลัก

แต่ลึกลงไปกว่านั้น ผมทั้งตั้งใจทั้งปรารถนาที่จะเห็นคนรวยไทยช่วยคนจนไทยในทุกมิติเชิงลบที่เกิดขึ้นและสั่งสมมายาวนานจนกลายเป็น “ช่องว่าง” ที่นับวันจะยิ่งถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ

...

ไม่ใช่ความผิดของใครทั้งสิ้นในโลกนี้ แต่มันคือผลที่จะเกิดจากระบบ “ทุนนิยม” ที่โลกเราเลือกแล้วว่าเป็นระบบที่ดีสุด

มนุษยชาติเคยเลือกระบบอื่นมาแล้ว โดยเฉพาะระบบ “สังคมนิยม” แต่ก็พบว่าไปไม่รอดต้องกลับมาสู่ระบบ “ทุนนิยม” อีกหน

ระบบที่ดีที่สุดแต่ก็มีจุดอ่อนที่สุด เพราะในระบบนี้ยิ่งพัฒนาเท่าไรคนรวยก็จะยิ่งรวยขึ้น ในขณะที่คนจนก็จะยิ่งจนลง

งานวิจัยของ โทมัส พิกเกตตี้ และนำมาเขียนเป็นหนังสือขายดี “CAPITAL in The Twenty-First Century” นำตัวเลขมาให้โลกได้เห็นอย่างเด่นชัด

แม้แต่สหรัฐอเมริกาที่ได้ชื่อว่ามีระบบจัดเก็บภาษีดีที่สุด และสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันได้มากที่สุดยังเอาไม่อยู่เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนในอเมริกาอย่างน่าใจหายเช่นกัน

อย่าไปประมาทแม้ “สังคมนิยม” จะไม่กลับมาอีกแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าจะมีอะไรที่ร้ายแรงกว่าสังคมนิยมเกิดขึ้นใหม่หรือไม่?

การอยู่ร่วมกันอย่างมีเมตตา อย่างมีความรัก อย่างช่วยเหลือเจือจาน หรือช่วยเหลือเผื่อแผ่แก่กันและกัน จึงน่าจะดีที่สุด

ทุกวันนี้คนรวยในเมืองไทยเราตื่นตัวเรื่องนี้พอสมควร มีโครงการประเภท CSR ช่วยเหลือสังคมเกิดขึ้นมากมายก่ายกองซึ่งเป็นเรื่องที่ดี

แต่ของคุณบัณฑูร ล่ำซำ โดยมูลนิธิ “รักษ์ป่าน่าน” และ “น่านแซนด์บ็อกซ์” ผมชอบเป็นพิเศษเพราะจะช่วยแก้ได้อย่างตรงจุดถ้าทำสำเร็จ จะแก้ทั้งปัญหายากจน แก้ทั้งปัญหาการบุกรุกทำลายป่าไปพร้อมกัน

ผมจึงเขียนถึงบ่อยๆ รวมทั้งครั้งนี้ที่เขียนยาวแบบมินิซีรีส์ให้เห็นถึงความก้าวหน้าว่าไปถึงไหนแล้วถึง 5 วันเต็มๆ

ท่านเศรษฐีอื่นๆก็อย่าได้ชักช้าเลือกจังหวัดเลือกอำเภอยากจนที่ไหนก็ได้ที่มีอยู่ทั่วประเทศไทย แล้วก็ลงไปช่วยเหลือไปอนุเคราะห์ไปพัฒนาเพื่อให้เขาอยู่ดีกินดีขึ้น

แผ่นดินไทยเราจะได้สงบสุขร่มเย็น คนไทยเราจะได้อยู่อย่างรักใคร่ สามัคคี กลมเกลียว โดยไม่มีอะไรที่ร้ายแรงกว่า “สังคมนิยม” กลับมาแผ้วพานในอนาคต ขอฝากไว้ด้วยนะครับ.

“ซูม”