“เกษตรกรในพื้นที่ อ.พบพระ จ.ตาก ปลูกอะโวคาโดกันมาก โดยเฉพาะสายพันธุ์แฮสส์ เพราะรสชาติอร่อยที่สุด ว่ากันว่าเป็นที่ต้องการของตลาด แต่หลังผลผลิตเริ่มออกกลับขายไม่ได้ราคาตามที่หวัง มีผลผลิตส่วนน้อยเท่านั้นที่คุณภาพได้มาตรฐานส่งขายให้กับห้างโมเดิร์นเทรดได้”
ศ.ดร.ฐิติวรรณ ฉิมสุข คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เล่าถึงที่มา โครงการการสกัดน้ำมันอะโวคาโดและการสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลอะโวคาโด ที่เริ่มขึ้นในปี 2558 ด้วยการสนับสนุนทุนวิจัยจาก สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) (สวก.) เนื่องจากเกษตรกรผู้ปลูกอะโวคาโดประสบปัญหาผลผลิตส่วนใหญ่ไม่สามารถขายได้ราคา ถูกปล่อยทิ้งให้เน่าเสียไปอย่างสูญเปล่า ทั้งที่เป็นต้นทุนของเกษตรกร
ที่สำคัญปัจจุบันเกษตรกรไทยเริ่มแห่ปลูกกันมากขึ้น...ในอนาคตอะโวคาโดไม่แคล้วต้องกลายเป็นผลไม้ที่มีปัญหาผลผลิตล้นตลาด ขายไม่ได้ราคา เป็นภาระให้ภาครัฐต้องเข้าแทรกแซงเหมือนพืชตัวอื่นๆ
“หลังจากได้รับการร้องขอจากเกษตรกร ทีมวิจัยของเราจึงได้ลงมือศึกษาคุณประโยชน์ของอะโวคาโด พบว่ามีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ต่างๆภายในร่างกายไม่ให้ถูกทำลาย อะโวคาโดมีน้ำมันที่อุดมไปด้วยวิตามินอี มีไขมันชนิดดี เป็นตัวนำพาวิตามินต่างๆในพืชผักผลไม้ให้ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และถ้านำมาใช้ภายนอก สามารถใช้บำรุงผิวพรรณและเส้นผมได้เป็นอย่างดี เพราะมีคุณสมบัติซึมได้เร็ว ไม่เหนียวเหนอะหนะ เหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีผิวแห้ง หากใช้เป็นประจำจะช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้นเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวา”
...
ที่สำคัญน้ำมันอะโวคาโดมีการซื้อขายในราคาสูงถึงลิตรละ 8,300 บาท
เมื่อพบว่า การนำอะโวคาโดมาสกัดเป็นน้ำมัน สามารถแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรได้ ดร.ฐิติวรรณ จึงศึกษาวิธีการสกัดน้ำมันในแบบที่เกษตรกรสามารถทำได้เองแบบง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน อย่างพื้นที่ภาคเหนือสามารถใช้เตาอบลำไยนำมาประยุกต์อบได้เลย...ปริมาณน้ำมันที่ได้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระยะผลสุก
หากอะโวคาโดสุกมากจะได้ปริมาณน้ำมันน้อย...แต่ถ้าดิบมากทำให้ผ่าและซอยให้เป็นชิ้นบางๆยาก
ส่วนกรรมวิธีสกัดน้ำมัน ดร.ฐิติวรรณ บอกว่า เริ่มจากเลือกอะโวคาโดผลที่ไม่สุกมาก นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นอบลดความชื้น หากเป็นเครื่องอบระบบถาดหมุน จะใช้อุณหภูมิ 50-60 ํC นาน 5 ชม. จากอะโวคาโดสด 10 กก. เหลือน้ำหนักแห้ง 1 กก. เมื่อนำมาเข้าเครื่องสกัดเย็นจะได้น้ำมันอะโวคาโดสีเขียวมรกต 1 ลิตร
อะโวคาโดที่ต้องทิ้งไปเปล่าๆ หรืออย่างดีขายได้ไม่เกิน 300 บาท...แปรรูปเป็นน้ำมันได้ราคาสูงถึง 8,300 บาท ได้มูลค่าเพิ่มขึ้นมาถึง 27 เท่า
และเพื่อให้โลกได้รู้จัก น้ำมันอะโวคาโด เมดอิน ไทยแลนด์ มีความยอดเยี่ยมไม่แพ้ใครในโลก ดร.ฐิติวรรณ ได้นำน้ำมันอะโวคาโดสกัดให้ ผศ.ดร.ดวงพร อมรเลิศพิศาล รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านเวชสำอาง นำไปเป็นส่วนผสมในโลชั่น ครีมบำรุงผิว เซรั่ม บอดีมิส แล้วส่งไปประกวดในงาน Korea International Women’s Invention Exposition 2017 ประเทศเจ้าแม่แห่งเครื่องสำอาง สามารถคว้ารางวัล Bronze Award จากงานประกวด และรางวัลเหรียญทอง รางวัลพิเศษจากประเทศอินโดนีเซีย
...
ทำเอานักธุรกิจเครื่องสำอางแดนกิมจิ ถึงต้องขอดูน้ำมันอะโวคาโดของไทย ด้วยความทึ่งที่เราปลูกเองได้ และสกัดน้ำมันได้คุณภาพ พอที่จะทำเครื่องสำอางแข่งกับเกาหลีได้
จากความสำเร็จนี้ ทีมวิจัยแม่โจ้พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยี วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการที่สนใจติดต่อได้ที่ 08-7313-4033.
เพ็ญพิชญา เตียว