เปิดประสบการณ์ใหม่ ร้านกาแฟเงียบที่สุดในเชียงใหม่ แต่คนแน่นร้านทุกวัน ในโรงเรียนโสตศึกษาฯ เพื่อปั้นบาริสต้าเด็กหูหนวก ต่อยอดฝึกทักษะอาชีพในฝัน ยันไม่เป็นอุปสรรคเพราะออเดอร์จากการเขียน และชี้รูปในเมนู


จังหวัดเชียงใหม่ ถูกยกให้เป็นเมืองหลวงแห่งร้านกาแฟ ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็จะพบเห็นคาเฟ่ได้แทบทุกตรอกซอกซอย วันนี้ (19 ก.พ. 2567) ผู้สื่อข่าวจะพาไปร้านกาแฟที่เรียกได้ว่าเป็นร้านคาเฟ่ที่เงียบที่สุดในเชียงใหม่ เพราะบาริสต้า และพนักงานในร้านเกือบทั้งหมด เป็นนักเรียนผู้พิการทางการได้ยิน ที่ใช้ภาษามือในการสื่อสาร และบริหารจัดการออเดอร์

...

โดยร้านแห่งนี้ชื่อร้านคาเฟ่ เดอ โสต (Caf? De Sot) ย่านชุมชนสันติธรรม ต.ช้างเผือก อ.เมืองเชียงใหม่ สำหรับลูกค้าที่มีทั้งคนไทย และต่างชาติ รอเข้าคิวสั่งเครื่องดื่ม และเบเกอรี่ภายในร้าน โดยมีพนักงานรับออเดอร์คอยสื่อสารภาษามือให้บาริสต้าที่เป็นนักเรียนหูหนวกได้ชงเครื่องดื่ม และนำไปเสิร์ฟให้กับลูกค้า

บาริสต้าที่ร้านนี้แม้จะยังเป็นเยาวชน และมีปัญหาทางการได้ยิน แต่ฝีมือก็ไม่ธรรมดา เพราะทุกคนผ่านการฝึกอบรมมาอย่างเข้มข้น เรียกว่าชงกาแฟ และเครื่องดื่มได้ทุกเมนูทั้งร้อนเย็น แถมยังคล่องแคล่วว่องไว และประณีตตั้งใจจนทุกแก้วมีรสชาติอร่อยล้ำไม่แพ้กาแฟยี่ห้อดัง เป็นคำตอบว่าทำไมที่ร้านนี้ถึงมีลูกค้าเต็มร้านทุกวัน และนอกจากกาแฟเครื่องดื่ม ทางร้านยังมีขนม และเบเกอรี่อีกหลายหลายเมนูให้เลือกชิม แน่นอนว่าเกือบทั้งหมดเป็นฝีมือของนักเรียนผู้พิการทางการได้ยินด้วยเช่นกัน

คาเฟ่ เดอ โสต (Cafe' de Sot) เป็นร้านกาแฟของ “โรงเรียนโสตศึกษาอนุสารสุนทร” โรงเรียนสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน หรือหูหนวก ในเขตพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนบน สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ บริเวณร้านอยู่ภายในรั้วโรงเรียน บรรยากาศร่มรื่นภายใต้การตกแต่งสวนสไตล์ทรอปิคอล มีน้ำตก และพรรณไม้ต่างๆ ท่ามกลางอากาศเย็นสบายเสมือนอยู่ในป่าธรรมชาติกลางเมือง เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าที่พากันมานั่งจิบกาแฟ และพักผ่อน

...

นางสุภาภรณ์ พันธ์วิไล ครูผู้แลร้านกาแฟ กล่าวว่า ร้านกาแฟแห่งนี้เปิดขึ้นเพื่อส่งเสริมกิจกรรมให้นักเรียนผู้พิการทางการได้ยินได้ฝึกฝนทักษะด้านอาชีพการขายกาแฟ และงานภาคบริการ เพื่อให้สามารถต่อยอดในวันข้างหน้าได้ โดยก่อนหน้านี้ในช่วงเปิดบริการครั้งแรกเมื่อปี 2563 ครูในโรงเรียนช่วยกันหมุนเวียนกันมาทำ รายได้ส่วนหนึ่งจะเป็นทุนใช้จ่ายเพื่อกิจการของโรงเรียน แต่เมื่อครูต้องไปสอนตามภารกิจหลักก็ทำให้ต้องปิดร้าน ขาดความสม่ำเสมอ หลังจากนั้นจึงจ้างบาริสต้ามาทำเพื่อให้เปิดบริการได้เต็มวัน ภายหลังทางโรงเรียนได้เปิดให้นักเรียนเข้ามามีส่วนร่วมในช่วงเช้าและเย็น และวันเสาร์-อาทิตย์แบบเต็มวัน โดยได้รับค่าจ้างเต็มวัน 300 บาท และรายชั่วโมง ชั่วโมงละ 30 บาท มีนักเรียนที่สนใจจองคิวเข้ามาทำเป็นจำนวนมาก ทำให้ทางโรงเรียนต้องบริหารจัดคิวเพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสอย่างทั่วถึง

...

ครูผู้แลร้านกาแฟ กล่าวต่อว่า นักเรียนที่มาทำงานจะมีทั้งที่ทำหน้าที่บาริสต้า เสิร์ฟ และพนักงานทั่วไป ส่วนนักเรียนที่จะมาทำหน้าที่บาริสต้าจะคัดเลือกเด็กที่มีทักษะ และมีความสนใจ โดยทางโรงเรียนจะส่งไปอบรมกับบาริสต้ามืออาชีพเพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพ ส่วนการสื่อสารสั่งออเดอร์ภายในร้านไร้อุปสรรค ลูกค้าจะชี้เมนู หรือเขียนสั่งออเดอร์ แต่ก็มีบาริสต้าหูดีที่ผ่านการเรียนรู้ภาษามือมาคอยช่วยอีกทางหนึ่ง รวมทั้งยังมีลูกค้าหูหนวกทั้งคนไทย และต่างชาติ มาที่ร้านซึ่งก็สามารถใช้ภาษามือสื่อสารกันได้โดยตรง ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

...

ครูสุภาภรณ์ กล่าวด้วยว่า ทำงานที่ร้านกาแฟเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้ ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และสร้างรายได้โดยไม่รบกวนผู้ปกครอง และประสบการณ์ที่ได้รับจะเป็นการต่อยอดอาชีพได้อนาคตสำหรับเด็กที่สนใจ นอกจากนี้ยังช่วยให้เด็กได้ฝึกการอยู่ร่วมกับคนปกติในสังคมก่อนที่จะเรียนจบออกไป เพราะเด็กหูหนวกส่วนใหญ่จะกลัวคนหูดี จนบางคนมีปัญหาในการอยู่ในสังคม.