มังคุดรุ่นสุดท้าย ทำราคาดิ่งในรอบปี กิโลไม่ถึง 20 บาท เกษตรกรเมืองจันท์ นำโมเดลแปลงใหญ่เขาคิชฌกูฏ รวมตัวเปิดประมูลมังคุดกับล้ง สร้างอำนาจต่อรองการตลาด...

เมื่อวันที่ 4 ก.ค. นายปิยะ สมัครพงษ์ หัวหน้ากลุ่มยุทธศาสตร์และสารสนเทศ สำนักงานเกษตร จ.จันทบุรี พร้อมเกษตรอำเภอ, ผู้นำชุมชน, ผู้นำท้องถิ่น และ กลุ่มเกษตรแปลงใหญ่ ทำการประมูลผลผลิตมังคุดของสมาชิก ที่ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ให้มีอำนาจต่อรองทางการตลาด หลังจากในช่วงสัปดาห์นี้ มังคุดราคาดิ่งลงสุดในรอบปี

นายปิยะ กล่าวว่า การใช้ระบบประมูลกับล้งผู้รับซื้อ ซึ่งไม่ใช่การขายผลผลิตให้พ่อค้ารายใดรายหนึ่ง โดยที่ผ่านมากลุ่มเกษตรแปลงใหญ่มังคุด อ.เขาคิชฌกูฏ ได้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาการตลาด จนเป็นโมเดลสำคัญของการทำแปลงใหญ่มังคุดใน อ.เมือง จ.จันทบุรี โดยมุ่งปรับเปลี่ยนระบบการส่งเสริมการเกษตรในพื้นที่ขนาดใหญ่ เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกรรายย่อย มาสู่การรวมกลุ่มที่สามารถใช้เครื่องมือ เครื่องจักรกลมาช่วยในการผลิต เข้าถึงเทคโนโลยีได้มากขึ้น มีความสามารถในการจัดการการผลิตผลผลิตอย่างมืออาชีพ ทำให้คุณภาพสินค้าได้มาตรฐานเท่าเทียมกัน สามารถเข้าถึงการตลาดและมีอำนาจต่อรองทางการตลาดสูงขึ้น และการประมูลผลผลิตมังคุดของสมาชิก แต่ละครั้งจะได้ราคาที่สูงขึ้นกว่าท้องตลาด 10%

ขณะที่ ราคาผลผลิตมังคุดล่าสุด ได้ตกต่ำสุดในรอบฤดูกาลผลิตปีนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ ประมาณ 40 บาทต่อกิโลกรัม และสัปดาห์นี้ ราคามังคุดผิวมัน อยู่ที่ 20-21 บาทต่อกิโลกรัม, คละรวมอยู่ที่ 13-17 บาทต่อกิโลกรัม แล้วแต่พื้นที่ ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรชาวสวนมังคุดเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ผลผลิตมังคุดที่ราคาตกต่ำอยู่ในขณะนี้ เป็นรุ่นสุดท้ายที่จะออกสู่ตลาด หรือเพียง 30% จากผลผลิตทั้งหมดในปีนี้ คาดจะทยอยออกในช่วงอีก 2 สัปดาห์

...

นอกจากนี้ ล้ง ได้นำมังคุดจากทางภาคใต้ขึ้นมาสบทบในพื้นที่จันทบุรี เนื่องจากลดต้นทุนในการเปิดล้งใหม่ในภาคใต้ จึงทำให้ผลผลิตมีปริมาณมากและอายุการเก็บรักษาน้อย เกษตรกรจึงนำออกมาขาย เนื่องจากกลัวว่าผลผลิตจะเสียหาย จนเกิดภาวะล้นตลาด และผลกระทบเรื่องปัญหาแรงงาน ที่มีผลเกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งในช่วงที่รอการแก้ปัญหาจากทางภาครัฐ ในเบื้องต้นเกษตรกรควรบริหารจัดการผลผลิตด้วยตนเองก่อน โดยการทยอยเก็บมังคุดแก่ส่งขายภายในตลาดขายปลีก เพื่อลดปริมาณมังคุดให้น้อยลง และในอนาคตอยากให้เกษตรกรเห็นความสำคัญของการรวมกลุ่ม เพื่อรวมกันขายผลผลิต ซึ่งจะทำให้มีอำนาจต่อรองทางการตลาดได้มากขึ้น.