หลวงพ่อจีวรบิน ขี่รถจักรยานยนต์พ่วงข้างบนถนนหลวง หลังมาบวชแก้บนที่รอดชีวิตจากช่วงโควิด-19 เป็นพระไร้สังกัดวัด
จากกรณีเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 67 ได้เกิดเหตุการณ์มีพระสงฆ์ชื่อ พระกฤษฎา อายุ 65 ปี ขี่รถจักรยานยนต์พ่วงข้าง ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ 100 สีน้ำเงิน ทะเบียนนครสวรรค์ มาติดต่อขอทำบัตรประชาชนยังที่ว่าการอำเภอสัตหีบ จ.ชลบุรี แต่ไม่อาจทำได้ เนื่องจากสมุดสุทธิไม่สมบูรณ์ ทางด้าน น.ส.พิกุล โสภา ปลัดอำเภอ จึงไม่สามารถอนุญาตให้ทำได้ พร้อมประสานไปยังพระผู้ใหญ่ให้ช่วยดำเนินการตรวจสอบ
แต่ระหว่างเฝ้ารออยู่นั้น พระกฤษฎา ได้ทิ้งสมุดสุทธิไว้กับเจ้าหน้าที่ ก่อนจะเดินออกจากห้องทำบัตร มาขี่รถจักรยานยนต์ที่จอดไว้ข้างอาคารหน้า สภ.สัตหีบ มุ่งหน้าออกถนนสุขุมวิทไปยังจุดหมายปลายที่ วัดทรัพย์นาบุญญาราม ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี รวมระยะทางขับขี่ 16 กม. ไปกลับ 36 กม. ท่ามกลางประชาชน และรถที่สัญจรอยู่บนถนนจำนวนมาก จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำดังกล่าวว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้ในเขตพื้นที่อำเภอสัตหีบ ตามที่ได้รายงานไปแล้วนั้น (อ่านข่าว : วิจารณ์สนั่น หลวงพี่ควบซาเล้งจีวรบิน อ้างบวชแก้บน ไม่ได้จำศีลที่วัด)
...
ความคืบหน้าล่าสุด (13 เม.ย. 67) พระครูปลัดบุญส่ง เตชธโร เจ้าอาวาสวัดทรัพย์นาบุญญาราม พร้อมด้วย พระครูยอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเทพประสาท และ น.ส.เตือนจิตร์ ทรัพย์นา ผู้ใหญ่บ้านนาจอมเทียน หมู่ที่ 8 ได้เข้าตรวจสอบหาข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว
จากการนำพระรูปนี้มาเจรจาพูดคุย สามารถสรุปรายละเอียดได้ดังนี้ ซึ่งพระรูปนี้ได้ขี่รถจักรยานยนต์มาขอทางเจ้าอาวาสวัดจำวัดเป็นเวลา 1 คืน ในสภาพตอนนั้นมีผมยาว และที่คอแขวนพระเครื่อง ทางเจ้าอาวาสจึงให้ดำเนินการโกนผมให้เรียบร้อย รวมถึงให้นำสร้อยพระออก และห้ามขับขี่รถจักรยานยนต์ไปในเมือง เนื่องจากเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ประชาชนติเตียน และผิดตามข้อห้ามที่มหาเถรสมาคมได้มีมติห้ามไว้
นอกจากนี้ยังพบว่า สมุดสุทธิที่นำมาแสดงไม่สมบูรณ์ เนื่องจากไม่มีเจ้าอาวาสวัดใดเซ็นกำกับให้พระรูปนี้อยู่ในสังกัดของวัด กล่าวคือ พระไม่มีสังกัดวัดอยู่นั่นเอง จึงเข้าข่ายตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์-กฎมหาเถรสมาคม ที่ระบุว่า ภิกษุไม่สังกัดอยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง เสี่ยงต้องถูกสึก ส่วนสาเหตุที่มาบวชเป็นพระ เพื่อต้องการมาแก้บนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์โควิด-19 มาได้
เบื้องต้นทางคณะสงฆ์ได้ติดต่อไปยังวัดต้นสังกัด ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังเจ้าอาวาสได้ทราบเรื่องแล้วได้ขอยืนยันว่า ไม่รับพระรูปนี้อยู่ในสังกัดวัด อนุญาตให้ทำการสึกได้ และเปิดโอกาสให้พระรูปนี้ติดต่อไปยังวัดอื่นๆ ที่อาจจะมีความรู้จักมักคุ้น หรือเคยจำอยู่วัดมาก่อน ก็สามารถมารับรองได้ แต่ไม่มีวัดใดกล้ามารับรอง ทางพระสงฆ์รูปนี้จึงตัดสินใจสึกลาสิกขาเป็นฆราวาสตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป.