คดีหนุ่มจีนแจ้งความ สาวไทยฉกบัตรเครดิตไปรูดซื้อทองในร้านที่พัทยา สาวเข้าขอความช่วยเหลือเพจสายไหมต้องรอด แฉกลับฝ่ายชายเป็นคนเอาบัตรให้ไปรูดเงินสด 3 ครั้ง 3 หมื่นบาท ทั้งยังพยายามข่มขืน ชิงมือถือ ยืนยันเป็นผู้ถูกกระทำ ไม่ใช่ผู้กระทำความผิด


จากกรณีเพจ “อีซ้อขยี้ข่าว” ได้โพสต์รูป และมีคำบรรยายาย “ตามหานางพญาจิ้งจอก สาวไทยร้อยเล่ห์ที่ฉกบัตรเครดิตของนักท่องเที่ยวชาวจีนตอนหลับ แล้วแอบนำบัตรไปรูดซื้อทอง ก่อนรีบเอาบัตรมาใส่คืนไว้ในกระเป๋าแล้วรีบชิ่งหนี จากนั้นผู้เสียหายตื่นมาเห็นข้อความแจ้งเตือน จึงรีบไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.บางละมุง เพื่อให้ช่วยตามหาตัวสาวไทยสุดแสบรายนี้” จนมีคนเข้าไปคอมเมนต์ และแชร์จำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ที่ร้านทองแห่งหนึ่ง ในซอยเขาตาโล หมู่ 10 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยเจ้าของร้านทองไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ แต่มีการพูดคุยถึงเหตุการณ์ดังกล่าวในวันนี้ว่า มีผู้หญิงเข้ามาซื้อทองตามวงจรปิด โดยใช้บัตรเครดิตมารูดซื้อทอง แต่วงเงินในบัตรสามารถซื้อได้แค่ 1 สลึง ทางผู้หญิงก็ได้กลับไปเอาบัตรอีก 1 ใบ มารูดสร้อยคอทองคำไปอีก 1 เส้น รวมเป็น 2 เส้น ซึ่งพฤติกรรมของผู้หญิงก็ปกติ พูดคุยไม่มีพิรุธ เมื่อถามว่าบัตรเป็นของผู้ชาย แล้วทำไมถึงผู้หญิงเซ็นได้ ทางเจ้าของร้านก็บอกว่าบัตรเป็นแบบวีซ่าเครดิต ที่ด้านหลังบัตรไม่มีลายเซ็นกำกับ และยังเปรียบเทียบว่าบัตรของเจ้าของร้านก็สามารถให้น้องไปรูดซื้อของได้เช่นกัน

 

ร.ต.อ.ศรสุพรรณ อดทนศรีอนันต์ รอง สว.สอบสวน สภ.บางละมุง เปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุวันที่ 13 มี.ค. เวลาประมาณ 12.00 น. นายมู ตี้ฮุย (Mr. Mu Dihui Wu Dihui) อายุ 33 ปี สัญชาติจีน มาแจ้งความ ว่ามีสาวไทยไม่ทราบชื่อและนามสกุล ซึ่งรู้จักผ่านแอปพลิเคชันวีแชต โดยรู้จักกันที่ กทม. ได้ประมาณ 6-7 วัน  ก่อนผู้หญิงชักชวนให้มาเที่ยวเมืองพัทยา พักอยู่ในซอยเขาตาโล ระหว่างพักผ่อนได้มี SMS เข้ามาในมือถือแจ้งว่ามีเงินสดจำนวน 32,815 บาท ถูกใช้ในการซื้อสร้อยคอทองคำ 2 ครั้ง ส่วนตัวผู้หญิงสาวได้หายไป   จึงได้มาแจ้งความลงบันทึกไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้หญิงสาวคนดังกล่าวนำบัตรไปทำความเสียหายอีก  

...


ต่อมา นายมู ตี้ฮุย อายุ 33 ปี สัญชาติจีน เปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า รู้จักผู้หญิงไทยผ่านแอปวีแชตได้ 3 วัน โดยตนไปส่งเพื่อนขึ้นเครื่องที่สนามบิน และโพสต์ข้อความว่าอยู่สนามบินในวีแชต หลังจากนั้นผู้หญิงคนดังกล่าวได้เห็นโพสต์ก็ได้ทักวีแชตว่าขอติดรถไปที่พัทยาด้วย ตนก็ให้ติดรถไปด้วย พอถึงพัทยาชาวจีนได้ขึ้นไปนอนพักเพราะเหนื่อย ผู้หญิงคนดังกล่าวอ้างว่าจะไปหาโรงแรม ก่อนที่จะหยิบกุญแจรถไปเปิดรถ ขโมยบัตรเครดิตไปซื้อทอง ย่านซอยเขาตาโล ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ถึง 3 ครั้ง โดยใช้บัตรเครดิตที่ลงท้ายด้วย 4,600 โดยรูดไปจำนวน 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 เวลา 12.07 น. โดยรูดไป 16,000 บาท ครั้งที่ 2 เวลา 12.10 น. รูดไปอีก 16,000 บาท และใช้บัตรเครดิตที่ลงท้ายด้วย 6253 รูดไปในเวลา 11.52 น. 10,190 บาท หลังจากผู้หญิงได้รูดบัตรเสร็จก็นำบัตรเครดิตมาคืนไว้ในกระเป๋า และได้ขโมยบัตรเครดิตอีก 1 ใบไป โดยนำไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง ในเวลา 11.20 น. โดยรูดซื้อของไป 85.87 หยวน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 400 กว่าบาท ซึ่งในบัตรยังมีวงเงินจำนวนแสนกว่าบาท ผู้หญิงคนดังกล่าวได้เอาไป หลังจากที่ชาวจีนตื่นขึ้นมาก็มีข้อความการใช้เงินเตือนเข้ามาในโทรศัพท์ ชาวจีนเลยลงมาดูบัตรที่รถ พบว่าบัตร 2 ใบ ยังอยู่ แต่มีบัตรอีก 1 ใบที่หายไป ชาวจีนจึงไปขอความช่วยเหลือร้านก๋วยเตี๋ยวฝั่งตรงข้าม ก่อนที่จะเข้าแจ้งความที่ สภ.บางละมุง


หนุ่มจีนระบุด้วยว่าได้ให้ข้อมูล และหลักฐานต่างๆ กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อให้ตำรวจติดตามตัวผู้หญิงคนนี้มาดำเนินคดี หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้โทรศัพท์ติดต่อกลับมา ขอล่ามเพื่อไปเซ็นยืนยันการร้องทุกข์แจ้งความ และวันนี้ได้ไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจท่องเที่ยวพัทยา ซึ่งตำรวจท่องเที่ยวได้ให้การช่วยเหลือ แต่ต้องให้ร้อยเวรเจ้าของคดีทำหนังสือติดต่อไปยังสังกัดของตำรวจท่องเที่ยว เพื่อขอความร่วมมือเป็นล่ามให้ ทั้งนี้ ชาวจีนอยากจะกลับบ้าน แต่ตอนนี้ไม่มีเงินเลย และอยากให้ผู้หญิงคนดังกล่าวมารับโทษ เพื่อไม่ให้ไปหลอกใครอีก เพราะสงสารคนอื่น 

ขณะเดียวกัน หญิงสาวในคลิปได้เข้าร้องเพจสายไหมต้องรอด เล่าว่า รู้จักชาวจีนคนนี้จากแอปหาคู่แอปหนึ่งตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคม ชื่อว่าอาฉี อายุ 33 ปี ก่อนที่จะมาคุยกันต่อในวีแชต ลักษณะคุยเป็นเพื่อน ไม่ใช่เชิงชู้สาว โดยเขาอ้างว่าประกอบธุรกิจเปิดร้านปิ้งย่างที่พัทยา พูดไทยได้นิดหน่อย ส่วนใหญ่สื่อสารผ่านแอปฯแปลภาษามากกว่า 

จนวันที่ 13 มีนาคม อาฉีได้แชตมาบอกตอนเที่ยงคืนว่า เขาเข้ามาส่งเพื่อนที่เป็นเชฟร้านของอาฉีขึ้นเครื่องที่สนามบินดอนเมืองกลับจีน ระหว่างนั้นตนจึงบอกว่าจะจองโรงแรมให้พัก แต่เขาปฏิเสธและบอกว่าแค่มาส่งแล้วกลับ ก่อนจะชักชวนให้เจอกันแถววิภาวดี 33 ตนก็ไปเลย ไปหาตอนตีสี่กว่า ก่อนที่จะขึ้นรถไปส่งเพื่อนด้วยกัน จากนั้นอาฉีก็ชักชวนตนให้ไปดูร้านปิ้งย่างของเขาและเที่ยวพัทยา ก็เลยไปด้วย เพราะคิดแค่ว่าเขาชวนไปดูร้าน ไม่น่าจะมีอะไร โดยออกจาก กทม. ตอน 6 โมงเช้า มาถึงพัทยาตอน 10 โมง ซึ่งระหว่างทางก็พูดคุยกันตามปกติ ไม่ได้มีท่าทีอันตรายใดๆ เมื่อมาถึงก็พาไปร้านปิ้งย่างซึ่งอยู่แถวพัทยาใต้ เป็นอาคารพาณิชย์สูง 4 ชั้น แต่ร้านปิดเพราะพ่อครัวเพิ่งกลับจีนไป ก่อนที่อาฉีจะพาตนขึ้นห้องพักแล้วพักผ่อนตามอัธยาศัย 


ประมาณ 11 โมงเช้า อาฉีบอกกับตนว่าไม่มีเงินไทยติดตัว จึงขอให้ตนเอาบัตรเครดิตไปรูดรับเงินสดที่ร้านทอง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากร้านปิ้งย่าง พร้อมกำชับว่าให้รูดมา 30,000 บาท โดยให้รูด 3 ครั้ง ครั้งละ 10,000 บาท และให้เซ็นชื่อตนเป็นภาษาอังกฤษ ตนจึงไม่ได้คิดอะไร เพราะเป็นบัตรของเขาเอง ก็เลยไปกดให้ที่ร้าน เดินไป 5 นาที โดยที่ร้านได้ตรวจบัตรประชาชนตนแล้ว แต่ก็ยินยอมให้รูดเงิน ก่อนที่ตนจะได้เงินสดกลับมา 30,000 บาท แล้วตนก็ไปแวะซื้อของกินนิดหน่อย ก่อนจะกลับมาที่ร้านของอาฉีตอนเกือบเที่ยง 

...

เมื่อมาถึง ตนก็มอบบัตรเครดิตและเงินสดให้อาฉี นั่งคุยกันสักพัก อยู่ดีๆ อาฉีพยายามจะผลักตนขึ้นเตียงและจะข่มขืน ตนก็ขัดขืนปฏิเสธพร้อมผลักออกกึ่งทีเล่นทีจริง ซึ่งอาฉีพยายามบอกแค่ว่า "นิดหน่อยนะๆ" ซึ่งตนไม่กล้าทำรุนแรง เพราะอยู่ในที่ของฝ่ายชาย กลัวว่าจะได้รับอันตราย แต่ฝั่งอาฉีพยายามจะง้างมือชกต่อย ข่มขู่จะทำร้ายร่างกาย และจับเนื้อตัวร่างกายไปเรื่อย 

สักพักผ่านไปกว่าชั่วโมง ตนขอกลับ ฝ่ายชายก็ออกไปสูบบุหรี่ ตนจึงเล่นมือถือที่เตียง ก่อนที่อยู่ดีๆ ผ่านไป 10-15 นาที เขาก็เดินเข้ามากระชากมือถือตนพร้อมจะชก ตนนั่งตั้งสติประมาณ 5 นาที พยายามเดินตามเอามือถือคืนอย่างระมัดระวัง เพราะอยู่ในที่ของเขา กลัวจะถูกทำร้าย แต่เดินออกมาหน้าร้านก็ไม่เจออาฉี และร้านรอบข้างก็ปิด ไม่มีใครให้สอบถาม ตอนนั้นประมาณบ่ายสามแล้ว เลยเดินหาเรื่อยๆ จนเจอวินมอเตอร์ไซค์ จึงเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะให้ช่วยไปส่งที่ห้างเซ็นทรัลพัทยา เมื่อไปถึงก็รีบแจ้งศูนย์ค่ายมือถือเพื่ออายัดมือถือว่าสูญหายและขอซิมใหม่ แล้วไปขึ้นแท็กซี่กลับ กทม. ด้วยเงินที่ติดตัวไปด้วยพันกว่าบาทตอนสี่โมงเย็น


หลังเกิดเหตุ ตนไม่สามารถที่จะติดต่ออาฉีได้อีกเลย เพราะไม่สามารถเข้า WeChat ได้ ซึ่งตนยังคงรู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมาอาฉีเองก็ดูจะเป็นคนดี เคยพูดเตือนถึงพฤติกรรมคนจีนที่นิสัยไม่ดีในประเทศบ่อยครั้ง จนตนเชื่อว่าเขาน่าจะเป็นคนดี แต่ความจริงมาปรากฏตอนที่เขาจะพยายามข่มขืน ที่ผ่านมาไม่กล้าไปแจ้งความ ทั้งที่ สภ.บางละมุง และ สน.ท้องที่บ้าน เนื่องจากนไม่มีพยานหลักฐานที่เพียงพอ และเกรงว่าพนักงานสอบสวนจะไม่รับแจ้งความ อีกทั้งไม่กล้ากลับไปแจ้งความที่พัทยาอีกแล้ว เพราะกลัวจะถูกทำร้ายหรือได้รับอันตราย จนกระทั่งมาปรากฏเห็นในสื่อโซเชียลเป็นข่าวว่า ตนไปขโมยบัตรเครดิตของคนจีนคนนี้ไปรูดซื้อทอง ซึ่งไม่เป็นความจริง 

...


“วันนี้จึงอยากมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมกับทางเพจสายไหมต้องรอดว่า เป็นผู้ถูกกระทำ ไม่ใช่ผู้กระทำความผิด ต้องการให้ความจริงปรากฏ และยืนยันว่าที่พูดมาทั้งหมดเป็นความจริง”


ด้าน นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ระบุว่า วันนี้หญิงสาวที่ชื่อ น้องพลอย มาแสดงความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งตนกำชับให้น้องพลอยพูดความจริง เพราะจะมีหลักฐานอื่นๆ เช่น ภาพวงจรปิดมายืนยันคำพูด ตนมองว่างานนี้ไม่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งต้องถูกดำเนินคดี แต่เพื่อให้ชัดเจนว่าน้องพลอยผู้ถูกต้องหรือไม่ หลังจากนี้ตนจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบที่ร้านปิ้งย่างที่พัทยา และจะประสานไปพูดคุยกับตำรวจ สภ.บางละมุง เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และเชิญคนจีนคนนี้มาให้การยืนยันไปเลยว่าใครพูดจริงพูดเท็จ 


“แม้ว่าเคสนี้จะต้องมองทั้งสองมุมสองด้าน แต่ก็ตั้งข้อสังเกตว่า ประเด็นที่มีการกล่าวหาหญิงคนนี้นั้น ดูมีพิรุธเพราะมองว่าหากประสงค์จะขโมยบัตรเครดิตจริงๆ แล้ว หญิงคนนี้จะกลับเอาบัตรเครดิตไปคืนทำไม”