นักวิชาการเคมี ยันคำเดิม พ่อแม่ลูกน็อกยกคัน มาจากควันท่อไอเสียเข้าไปในรถยนต์ ด้านผู้เชี่ยวชาญรถยนต์เผย โอกาสที่ก๊าซรั่วเข้าไปห้องโดยสารมีน้อยมาก เปรียบเทียบตดในรถยังทนไม่ได้ เปิดกระจกระบาย...
จากกรณี พ่อแม่ลูก 3 ชีวิต ขับรถออกมาจากบ้านที่พระราม 3 เพื่อไปท่องเที่ยวที่บางแสน จ.ชลบุรี โดยใช้เส้นทางด่วนบูรพาวิถี แต่อยู่ๆ ผู้เป็นพ่อ ซึ่งเป็นผู้ขับรถมีอาการเวียนศีรษะ และวูบ ทำให้ขับรถต่อไปไม่ไหว รวมทั้งภรรยาก็บอกว่าจะหมดสติ จึงต้องรีบขับรถเข้าข้างทางก่อนจะหมดสติไป
จากนั้นเจ้าหน้าที่กู้ภัยทางด่วนบูรพาวิถีมาพบรถจอดอยู่ข้างทาง จึงพยายามตะโกนเรียก และเขย่ารถ แต่ทั้งสามชีวิตในรถไม่มีใครตื่น ไม่กี่นาทีต่อมา คนขับตื่นขึ้นมาแต่อยู่ในอาการสั่นเทา เกร็ง ลิ้นแข็ง และปัสสาวะราด พยายามจะกดปุ่มเพื่อลดกระจกลง ซึ่งใช้เวลาประมาณ 5 นาที ถึงจะสามารถเอากระจกลงได้ ส่วนภรรยาหมดสติอยู่ในอาการตาค้าง น้ำลายฟูมปาก ปัสสาวะราด ชักเกร็ง ไม่รู้สึกตัว ด้านลูกสาวนอนหมดสติ ปัสสาวะราดอยู่ที่เบาะด้านหลังคนขับ
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้สร้างความสงสัยให้กับเจ้าหน้าที่และผู้ที่ทราบข่าวเป็นอย่างมาก โดยทีมข่าวเจาะประเด็นได้พูดคุยกับ รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่ง รศ.ดร.วีรชัย ยังคงยืนยันว่า กรณีดังกล่าวเกิดจากควันท่อไอเสียเข้าไปในรถยนต์แน่นอน แม้ว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมา ช่างยนต์ได้ตรวจสอบรถยนต์คันเกิดเหตุ เบื้องต้นน่าแปลกใจ ไม่พบความผิดปกติของเครื่องยนต์ และไม่มีกลิ่นไหม้ใดๆ ทั้งสิ้น รถเก๋งอยู่ในสภาพใหม่ พร้อมใช้งาน
...
“อาหารเป็นพิษตัดออกไปได้เลย ควันท่อไอเสียเข้าไปในรถยนต์แน่นอน มันต้องรั่วออกมาจากที่ไหนสักแห่งนั่นแหละ เพราะผู้โดยสารเขายืนยันว่า มีกลิ่นท่อไอเสียเข้ามาในห้องโดยสาร เพราะฉะนั้นต้องมีอะไรรั่ว และช่างต้องหาให้พบ หากหาบริเวณห้องเครื่อง หรือด้านหน้าตัวรถไม่เจอ ก็ต้องคลำหาไปยังจุดอื่นๆ”
“ข้อเท็จจริงคือ ทั้ง 3 คน ได้กลิ่นท่อไอเสียระหว่างรถวิ่ง แสดงว่าต้องมีการรั่วซึมมายังจุดใดจุดหนึ่งของตัวรถ ซึ่งตอนนี้ยังหาไม่เจอ แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนอย่าลืมนะครับว่า แพทย์โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ได้ระบุว่า คนไข้ทั้ง 3 คนได้รับสารพิษจากก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ซึ่งก๊าซตัวนี้ออกมาจากท่อไอเสียรถเท่านั้น” รศ.ดร.วีรชัย ยืนยันสมมติฐานหนักแน่น
ขณะที่ นายพัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ ระดับแนวหน้าของเมืองไทย ตั้งข้อสงสัยว่า 1.สามคนพ่อแม่ลูก เพิ่งผ่านการจ่ายค่าผ่านทางมาไม่นาน ซึ่งการจ่ายค่าผ่านทางต้องเปิดกระจกรถยนต์เพื่อจ่ายเงิน ฉะนั้นหากมีก๊าซใดๆ ก็ตามอยู่ในห้องโดยสาร ก๊าซดังกล่าวก็น่าจะฟุ้งออกไปจากห้องโดยสารได้บ้าง
2.กรณีรถวิ่งบนทางด่วน ซึ่งการวิ่งบนทางด่วนต้องใช้ความเร็วพอสมควร หากก๊าซดังกล่าวออกมาจากบริเวณห้องเครื่องด้านหน้าตัวรถ จะต้องโดนลมพัดจนเจือจาง
...
3.ระยะทางในการขับรถของครอบครัวนี้ ไม่น่าจะสะสมปริมาณก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ได้มากถึงเพียงนี้
4.แม้แต่ รศ.ดร.วีรชัย ก็ได้บอกว่า กรณีนี้เป็นกรณีแรกที่เกิดขึ้นในระหว่างรถวิ่ง ซึ่งโดยปกติแล้วอาการลักษณะนี้จะเกิดขึ้นขณะจอดรถและเปิดแอร์นอน
5.โดยสัญชาตญาณมนุษย์ หากได้รับกลิ่นเหม็นไหม้ หรือกลิ่นท่อไอเสียอะไรก็ตาม มนุษย์จะทนไม่ไหวและหาทางระบายกลิ่นไม่พึงประสงค์นั้นๆ ออก ซึ่งทางออกนี้ก็คือ เปิดกระจกระบายอากาศ, จอดรถ หรือดับเครื่อง
“ตั้งแต่ผมอยู่ในวงการนี้มา ผมได้พบเห็นเหตุการณ์คนนอนในรถ เปิดแอร์ ปิดกระจกแล้วเสียชีวิตมามากพอสมควร แต่ไม่เคยเห็นกรณีที่ก๊าซรั่ว หรือก๊าซทะลักเข้ามาในห้องเครื่องจนทำให้ทวารผู้โดยสารเปิด ปัสสาวะราดมาก่อน ผมไม่เคยเจอมาก่อนเลย”
“หากจะพิจารณาว่า มีกลิ่นอื่นใดอีกบ้าง นอกเหนือจากก๊าซรั่ว ก็คงจะจะมีกลิ่นเหม็นไหม้ ซึ่งมาจากไฟช็อตฉนวนหุ้มสายไฟที่เป็นพลาสติกจนพลาสติกละลาย, กลิ่นเชื้อเพลิงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล หรือกลิ่นแก๊ส”
...
“โอกาสที่ก๊าซรั่วเข้าไปในห้องโดยสารมีน้อยมาก หรือมีโอกาสเพียงแค่ 1% ก็ถือว่ามากแล้ว เราคงต้องรอให้ทางแพทย์ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด ตรวจอาหารให้เรียบร้อย แต่ในทางรถยนต์ ผมมองว่า เป็นไปได้น้อยมากที่จะมาจากก๊าซรั่ว ขอโทษนะ ขนาดมีคนในรถตดยังเปิดกระจกระบายอากาศเลยครับ ถ้าก๊าซรั่วจนมีกลิ่นเหม็น เขาก็คงต้องเปิดกระจกระบายอากาศ” นายพัฒนเดช ผู้เชี่ยวชาญด้านรถยนต์ ให้ความเห็นจากประสบการณ์.
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
...