พลังโซเชียลแชร์วนจนเจอเด็ก 9 ขวบ หายจากบ้านระหว่างแม่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แกะรอยวงจรปิด บนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้เจอลูก กระทั่งมีคนแจ้งเบาะแสข่าวดี พบลูกอยู่แถวหน้าวัดตำหรุ สมุทรปราการ ขอบคุณโลกออนไลน์ที่ช่วยกันแชร์ข่าว
จากรณีเพจหอข่าวชาวปราการ ได้แชร์ภาพเด็กอายุ 9 ปี ซึ่งเป็นนักเรียนชั้น ป.3 แห่งหนึ่ง ได้หายตัวออกไปจากบ้านพัก ย่านวงเวียนท้ายบ้าน ถ.สายลวด ต.ปากน้ำ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เมื่อช่วงเวลา 18.00 น. วันที่ 9 ก.ย. 59 ที่ผ่านมา ก่อนที่ทางผู้ปกครองจะเข้าแจ้งความกับ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสมุทรปราการ เพื่อช่วยตามหา
ก่อนที่ภาพของเด็กชายคนดังกล่าว จะถูกแชร์ไปในสื่อสังคมออนไลน์กว่า 5 พันครั้ง จนวันที่ 9 ก.ย. ทางเจ้าหน้าที่ได้เบาะแสจากภาพกล้องวงจรปิดของร้านสะดวกซื้อ สาขาวงเวียนท้ายบ้าน พบว่าเด็กคนดังกล่าว ซึ่งทราบชื่อต่อมาคือ ด.ช.ชลธี ไร่กระโทก หรือ น้องธี แต่งกายเสื้อสีส้ม กางเกงขาสั้นสีเขียวขี้ม้า รองเท้าสีดำ ซึ่งพบครั้งสุดท้ายขณะวิ่งเล่นอยู่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ ก่อนที่จะมีชายรูปร่างผอมสูง สวมเสื้อสีดำ เข้ามาพูดคุยด้วย และเดินจูงมือหายไปด้วยกัน
ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 10 ก.ย. 59 จากพลังโซเชียลที่ได้ช่วยกันแชร์ภาพเด็กคนดังกล่าวกันจำนวนมาก จนมีพลเมืองดีได้พบตัว น้องธี เดินอยู่กับชายคนหนึ่งอยู่บริเวณหน้าวัดตำหรุ ถ.คลองเก้า ต.บางปู อ.เมืองสมุทรปราการ ก่อนที่พลเมืองดีจะโทรแจ้ง นางเพ็ญพักตร์ กล่อมน้อย อายุ 40 ปี ผู้เป็นแม่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจไปรับตัวน้องธี และชายคนดังกล่าว ทราบชื่อ นายแก้ว มาที่ สภ.บางปู มาสอบสวนเบื้องต้น ก่อนส่งตัวน้องธีมาที่ สภ.เมือง เจ้าของคดี เพื่อสอบปากคำร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปคม.
นางเพ็ญพักตร์ เล่าว่า ระหว่างที่ตนนอนรักษาตัว ด้วยอาการโรคความดัน อยู่ที่ รพ.สมุทรปราการ ช่วงเช้าวันนี้ 10 ก.ย. ได้รับแจ้งจาก นางมณี กล่อมน้อย อายุ 77 ปี ซึ่งเป็นแม่ของตนว่า น้องธี ได้หายตัวออกจากบ้านไป 1 คืนแล้ว ขณะนี้แจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองสมุทรปราการ หลังจากตนทราบข่าวและด้วยความเป็นห่วงลูก จึงได้ตัดสินใจหนีออกมาจากโรงพยาบาล เพื่อตามหาน้องธี โดยจุดแรกที่ตนไปคือ บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อสาขาถนนวงเวียนท้ายบ้าน ซึ่งอยู่หน้าปากซอยบ้านพักของตนเอง
...
โดยบริเวณดังกล่าว เป็นสถานที่ที่น้องธี วิ่งเล่นกับเพื่อนอยู่เป็นประจำ เมื่อไปถึงจึงได้ขอพนักงานร้านสะดวกซื้อดูกล้องวงจรปิด และเห็นภาพน้องธีวิ่งเล่นอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อจริง ก่อนที่จะมีชายเสื้อดำ ซึ่งไม่เคยรู้จักมาก่อน เข้ามาทำทีพูดคุยกับน้องธี และพาเข้าไปซื้อขนมในร้าน ก่อนจะออกมานั่งคุยกันอยู่บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อยู่นาน ก่อนที่ชายคนดังกล่าวจะจูงมือน้องธีหายไปจากรัศมีของกล้องวงจรปิด
นางเพ็ญพักตร์ กล่าวต่อว่า หลังจากตนทราบว่า น้องธี ได้หายไปกับคนแปลกหน้า คิดว่าจะเกิดอันตราย จึงตระเวนออกตามหาน้องธีตามแหล่งชุมชน รวมถึงห้างสรรพสินค้าละแวกใกล้เคียง แต่ก็ไม่พบ จึงได้แต่ภาวนาและกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองให้น้องธีปลอดภัย และขอให้ตนได้พบกับน้องธีอีก เนื่องจากตนมีลูกชายเพียงคนเดียว
ต่อมา ได้รับข่าวดีเมื่อมีพลเมืองดีโทรมาบอกว่า พบ น้องธี เดินอยู่แถวหน้าวัดตำหรุ กับชายซึ่งคล้ายกับคนเร่รอน ขณะนี้ได้แจ้งเจ้งตำรวจ สภ.บางปูแล้วมารับตัวไปแล้ว จึงได้รีบเดินทางไปรับลูกชาย เมื่อไปถึงทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้สอบปากคำตน และชายคนดังกล่าว ซึ่งทราบชื่อเพียงว่า นายแก้ว หลังจากสอบสวนแล้ว พบว่านายแก้วเป็นบุคคลเร่ร่อน ไม่มีที่นอนเป็นหลักแหล่ง และสติไม่สมประกอบ และนายแก้วก็ไม่ได้ทำร้ายลูกชายจึงไม่ติดใจเอาความ
นางเพ็ญพักตร์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ตนต้องขอบคุณสังคมออนไลน์ด้วย ที่ทำให้ตนได้พบกับลูกชายอีก อย่างไรก็ตาม น้องธี เล่าให้ฟังว่า เคยไปเที่ยวกับนายแก้ว 2 ครั้งแล้ว เนื่องจากนายแก้วได้บอกว่าจะพาไปเที่ยวและซื้อของให้ ซึ่ง น้องธี ก็หลงเชื่อจึงยอมไปด้วย ระหว่างที่อยู่กับนายแก้ว นายแก้วก็พาไปเดินเล่นบริเวณท่าเรือปากน้ำ ก่อนที่จะพาไปนอนที่วัดตำหรุ โดยไม่ได้ทำร้ายตนเองและข่มขู่แต่อย่างใด
ทางด้าน ร.ต.อ.รุ่งเรืองบุญ อ่อนนิ่มอภิสกุล รอง สว.กก.2 บก.ปคม. กล่าวว่า หลังจากทางผู้บังคับบัญชาได้ทราบข่าว และรับการประสานจากมูลนิธิกระจกเงา รวมถึงมีการแชร์ภาพเด็กชายหายตัวออกไปจากบ้านพัก ย่าน จ.สมุทรปราการ จึงได้มอบหมายให้ตนเข้ามาติดตามคดี และประสานทางเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ ตามหาเด็กชายคนดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เนื่องจากเกรงว่าเด็กจะไม่ปลอดภัย
จนกระทั่งได้รับแจ้งว่าได้พบตัวเด็กแล้ว ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับตัวของนายแก้วนั้น ตนยังไม่ทราบประวัติว่า เคยก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวมากี่ครั้ง แต่เชื่อว่านายแก้วน่าจะเคยก่อเหตุดังกล่าวกับเด็กคนอื่นมาแล้ว ถึงแม้ข้อมูลเบื้องต้นจากพนักงานสอบสวน สภ.บางปู จะพบว่า นายแก้ว เป็นคนเร่ร่อน และดูคล้ายกับคนสติไม่สมประกอบ แต่ก็ถือว่านายแก้วนั้นทำผิดกฎหมาย
ร.ต.อ.รุ่งเรืองบุญ กล่าวต่อว่า หากตรวจสอบพบว่านายแก้วมีอาการลักษณะดังกล่าวจริง ก็ถือว่าเป็นบุคคลอันตรายที่ทางเจ้าหน้าที่ต้องรีบตามไปจับกุมตัวส่งให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป เพราะหากปล่อยไว้อยู่ร่วมในสังคม เกรงว่าจะไปก่อเหตุลักษณะดังกล่าวกับบุตรหลานคนอื่นอีก.