นครบาลแถลงจับ 2 อดีตนักมวยไทยชาวฝรั่งเศส ใช้บัตรเครดิตที่แฮกข้อมูลจากผู้เสียหายที่อยู่ในเมืองน้ำหอม ตระเวนกดเงินสดตามตู้เอทีเอ็มทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล แบงก์ไทยพาณิชย์สงสัย ประสานข้อมูลให้นักสืบหนุ่ม พ.ต.อ.อุเทน นุ้ยพิน ผกก.สส.บก.น.8 ตามจับได้คาตู้หน้ามหาวิทยาลัยมหิดลศาลายา เผย 1 ใน 2 ผู้ต้องหาเพิ่งถูกจับที่ภูเก็ต ในความผิดเดียวกัน แต่หลบหนีระหว่างการประกันตัวจนถูกจับได้อีกครั้ง
รวบ 2 อดีตนักมวยเมืองน้ำหอมใช้บัตรเครดิตปลอมตระเวนกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็มครั้งนี้เปิดเผยขึ้นเมื่อเวลา 15.20 น. วันที่ 14 พ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผบช.น. พ.ต.อ.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบก.น.4 พ.ต.อ.อุเทน นุ้ยพิน ผกก.สส.บก.น.8 ร่วมกันแถลงผลจับกุมนายนาซิ จาวัค อายุ 32 ปี นายฮาเคม ไฮเคม หรือฟิลลิป อายุ 34 ปี พร้อมของกลาง บัตรเครดิตปลอมสีขาว 15 ใบ เงินสด 10,000 บาท จับกุมได้ที่หน้ามหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม
พ.ต.อ.อุเทน นุ้ยพิน ผกก.สส.บก.น.8 กล่าวว่า ได้รับการประสานจากธนาคารไทยพาณิชย์หลังตรวจสอบพบว่ามีผู้นำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของต่างชาติมาตระเวนกดเงินสดตามตู้เอทีเอ็มใน กทม. เป็นที่น่าผิดสังเกต โดยมีการกดเงินตั้งแต่บริเวณ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ลาดพร้าว บางกะปิ สีลม ซอยอารีย์ และสะพานควาย ได้จัดชุดสืบสวนติดตามจนพบว่าช่วงเช้าที่ผ่านมา ผู้ต้องหาทั้งคู่ได้นำบัตรเอทีเอ็มปลอมไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มหน้ามหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้น พบบัตรเครดิตปลอม สีขาว 15 ใบ เงินสด 10,000 บาท เบื้องต้นรับสารภาพ ซื้อมาจากสถานบริการแห่งหนึ่งใน จ.ภูเก็ต ราคาใบละ 30,000 บาท ส่วนข้อมูลในบัตรทราบว่าแฮกมาจากผู้เสียหายที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศส 15 คน เมื่อตรวจสอบประวัติทั้งคู่ยังพบว่า นายนาซิเพิ่งถูกตำรวจ กก.สส.ภ.จ.ภูเก็ต จับกุมเมื่อวันที่ 15 พ.ค.57 ในความผิดเดียวกัน แต่หลบหนีการประกันตัวมาก่อเหตุซ้ำ ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นเฉพาะของธนาคารไทยพาณิชย์ ถูกคนร้ายกดเงินสดไป 300,000 บาท ส่วนธนาคารอื่นๆอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
...
มีรายงานด้วยว่า สำหรับผู้ต้องหาชาวฝรั่งเศสทั้ง 2 คน เป็นนักมวยในค่ายมวยแห่งหนึ่งใน จ.ภูเก็ต และเคยขึ้นชกในรายการไทยไฟต์ ซึ่งนายนาซิ ชกมาแล้วทั้งหมด 70 ครั้ง ส่วนนายฮาเคม ชกมาแล้ว 90 ครั้ง เบื้องต้นแจ้งข้อหาใช้และมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ โดยรู้ว่าเป็นของที่ทำปลอมหรือแปลงขึ้นโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อผู้อื่นหรือประชาชน อัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 7 ปี ปรับตั้งแต่ 20,000-240,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ดำเนินคดีตามกฎหมาย