ดับสนิทแล้ว เพลิงไหม้ซ้ำสองโกดังเก็บกากสารเคมี อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา หลังระดมฉีดน้ำสกัดนานกว่า 30 ชม. ใช้โดรนบินสำรวจไม่พบจุดความร้อนหรือกลุ่มควันแล้ว พ่อเมืองกรุงเก่าสั่งควบคุมสถานที่รอให้กรมโยธาฯเข้าตรวจโครงสร้างอาคาร ก่อนให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจหาสาเหตุ กรมควบคุมมลพิษลงพื้นที่ตรวจคุณภาพอากาศชุมชนโดยรอบ พบไอระเหยสารคลอรีนและแอมโมเนีย ผงะเจอน้ำปนเปื้อนกรดค่อนข้างสูงไหลนองเต็มพื้นที่หลังโกดังติดคลองจ่อไหลล้นออกสู่ภายนอก หาทางป้องกันด่วน นายกฯลั่นอธิบดีกรมโรงงานฯลาออกแต่งานต้องเดินต่อ มอบหมาย ตร.และหน่วยงานความมั่นคงเข้ามาช่วยสางปัญหา

ถึงแม้ปฏิบัติการดับเพลิงไหม้ซ้ำสองที่โกดังเก็บกากสารเคมีอุตสาหกรรม ริมถนนสายอุทัย-ภาชี หมู่ 2 ต.ภาชี อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 1 พ.ค. ยังไม่แล้วเสร็จ แต่พบพิรุธปมเหตุไฟไหม้ส่อเค้าเป็นการวางเพลิงเผาทำลายกากสารเคมีของกลางในคดีที่ถูกเจ้าหน้าที่ยึดไว้กว่า 4,000 ตัน เหมือนที่เคยเกิดเพลิงไหม้ขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 ก.พ. ทั้งยังมีส่วนเชื่อมโยงกับเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บกากสารเคมีใน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด

ความคืบหน้าปฏิบัติการดับเพลิงในโกดังสารเคมี หลังจากเจ้าหน้าที่ควบคุมเพลิงได้ในวงจำกัดแต่ไฟยังไม่ดับสนิท เมื่อช่วงเช้าวันที่ 3 พ.ค.นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร ผวจ.พระนครศรีอยุธยา เผยว่า เมื่อช่วงค่ำวันที่ 2 พ.ค. พบกลุ่มควันสีขาวจางๆลอยขึ้นมาเหนือหลังคาโกดังที่ 4 แต่ยังไม่เห็นแสงเพลิง เจ้าหน้าที่ทีมดับเพลิงใช้โดรนบินตรวจจับความร้อนภายในโกดังพบว่า มีความร้อนระอุอุณหภูมิสูงถึง 40 องศาฯ คาดว่ายังมีแสงเพลิงอยู่ในโกดัง ต้องใช้รถแบ็กโฮเจาะผนังกำแพงทะลุเข้าไปตรวจสอบด้านในพบกองเพลิงยังลุกไหม้ถังสารเคมีอยู่ จึงผูกสายยางฉีดโฟมกับแขนรถแบ็กโฮยื่นเข้าไปฉีดดับไฟ กระทั่งเวลา 23.00 น. สามารถดับไฟในโกดังที่ 4 ได้สนิทแล้ว หลังจากนั้นใช้โดรนบินตรวจจับความร้อนก็ไม่พบความร้อนและกลุ่มควัน ถือว่าใช้เวลายาวนานกว่า 30 ชั่วโมงในการควบคุมเพลิงครั้งนี้

...

ผวจ.พระนครศรีอยุธยา เผยด้วยว่า เพลิงดับลงแล้วเหลือเพียงแต่กลิ่นที่โชยมาไม่มากนัก หลังจากนี้จะเป็นการเฝ้าระวังไม่ให้ไฟปะทุขึ้นมาอีก มีรถดับเพลิงอยู่ในที่เกิดเหตุ 2 คัน และมีการทุบโกดังให้โล่งโจ้งเพื่อระบายความร้อน จะร่วมประชุมหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องสรุปสถานการณ์และมอบให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเป็นผู้ดูแลของกลางทั้งหมด ส่วนสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ ต้องรอให้เจ้าหน้าที่กรม โยธาธิการและผังเมืองเข้าตรวจสอบโครงสร้างอาคารโกดังว่ามีความมั่นคงแข็งแรงหรือไม่ จากนั้นจะประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุเพลิงไหม้ที่แน่ชัด ก่อนจะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย

ที่วัดโคกม่วง หมู่ 1 ต.โคกม่วง อ.ภาชี สถานที่ตั้งโรงพยาบาลสนาม มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการสูดดมควันพิษ มีอาการระคายเคือง คัดจมูกหายใจไม่ออก และแสบคอ ทยอยเข้ามาตรวจรักษาอย่างต่อเนื่อง ทีมแพทย์พยาบาลจะตรวจร่างกายชาวบ้านที่อยู่ใกล้โกดังอย่างละเอียด พร้อมกับทำประวัติ และจะนัดมาตรวจซ้ำอีกครั้งเพื่อดูว่าได้รับผลกระทบเจ็บป่วยหรือไม่ นอกจากนี้ยังได้แจกหน้ากากอนามัยให้ชาวบ้านเพื่อป้องกันการสูดดมสารเคมีด้วย

นพ.ยุทธนา วรรณโพธิ์กลาง นายแพทย์สาธารณสุข จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เผยว่า หลังเกิดเหตุไฟไหม้ ทีมแพทย์พยาบาลได้ตรวจร่างกายชาวบ้านในพื้นที่ไปแล้ว 350 คน พบอาการป่วย 7 คน ส่วนใหญ่มีอาการระคายเคือง แสบจมูก แสบตา ตรวจสภาพจิตใจผู้ได้รับผลกระทบ 192 คน พบอาการเครียดเล็กน้อย 9 คน และเครียดหนัก 3 คน ส่วน รพ.ภาชี ที่ปิดให้บริการชั่วคราว จะเปิดรับผู้ป่วยนอกตามปกติในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ ขณะที่ นพ.ปรัชญา พยัคฆ์เรือง ผอ.รพ.ภาชี เผยว่า วันนี้การฟุ้งกระจายของสารเคมีในอากาศได้เจือจางลงแล้ว ไม่มีผลกระทบ ไม่พบกลิ่น แต่ต้องระวังไว้ก่อน ยังไม่สามารถนำคนป่วยกลับมาได้ ต้องรออีก 2-3 วันถึงจะเคลื่อนย้ายกลับมาโรงพยาบาล ขณะที่ทีมแพทย์ได้ออกตรวจดูอาการชาวบ้านและให้การประชาสัมพันธ์ รวมทั้งแจกหน้ากากอนามัยและยาเวชภัณฑ์

ด้าน น.ส.ปรีญาพร สุวรรณเกษ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เผยว่า มอบหมายทีมตรวจสอบเหตุฉุกเฉินสารเคมีจากส่วนกลาง และหน่วยพิทักษ์สิ่งแวดล้อมที่ 6 ลงพื้นที่สนับสนุนปฏิบัติงานร่วมกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เข้าตรวจสอบคุณภาพอากาศในชุมชนโดยรอบพื้นที่โกดังเก็บสารเคมีที่ไฟไหม้ โดยเฉพาะพื้นที่ท้ายลมและพื้นที่อ่อนไหว เช่น สถานพยาบาลและชุมชนหนาแน่น เพื่อแจ้งเตือนประชาชนให้เฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพ พบว่าโกดังดังกล่าวมีอาคารเก็บสารเคมี 4,000 ตัน จำนวน 5 หลัง เกิดไฟไหม้โกดังที่ 4 และ 5 ปัจจุบันสามารถควบคุมเพลิงได้แล้ว แต่ยังพบมีกลุ่มควันสารเคมีเล็กน้อย มีกลิ่นเหม็นสารเคมี และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงยังคงเฝ้าระวังในพื้นที่

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษเผยต่อไปว่า ส่วนการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศแบบฉุกเฉินด้วยเครื่องมือตรวจวัดไอระเหยสารเคมีในภาคสนาม (FTIR) บริเวณชุมชนโดยรอบ พบสารคลอรีนและสารแอมโมเนีย ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน ได้รายงานข้อมูลต่อ ผวจ.พระนครศรีอยุธยา ส่วนการตรวจสอบคุณภาพอากาศบริเวณโดยรอบโกดังในรัศมี 100 เมตร ถึง 2 กม.ทั้งหมด 7 จุด อาทิ โรงเรียน ตลาด มัสยิด และบ้านเรือนประชาชน พบว่าผลการตรวจก๊าซไอระเหยต่ำกว่าขีดจำกัดการรับสัมผัสทางการหายใจเฉียบพลัน ระดับที่ 1 ขณะที่บริเวณวัดโคกม่วง ที่ใช้เป็นศูนย์อพยพและอยู่เหนือลม ไม่ได้รับกลิ่นและตรวจไม่พบไอระเหยสารเคมี

น.ส.ปรียาพรเผยด้วยว่า พบน้ำปนเปื้อนกรดค่อนข้างสูงจำนวนมากไหลนองเต็มพื้นที่ด้านหลังโกดังอยู่ติดกับคลองสามขวา (คลองชลประทาน) และที่ติดด้านหลังโรงงานมีความเสี่ยงที่จะไหลล้นออกสู่พื้นที่ด้านนอก คพ.ได้เก็บตัวอย่างน้ำผิวดินบริเวณใกล้เคียงโกดัง ซึ่งได้รับผลกระทบจากสารที่ใช้ดับเพลิงและปนเปื้อนสารเคมีรั่วไหลออกสู่ภายนอก เพื่อประเมินการปนเปื้อนและให้ข้อเสนอแนะทางวิชาการในการจัดการที่เหมาะสมและบำบัดฟื้นฟูต่อไป

...

ที่พรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน นายก รัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีนายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ลาออกจากราชการ หลังเกิด ปัญหาไฟไหม้โรงงานกากสารเคมีและการลักลอบขนย้ายแคดเมียมว่า ได้เชิญ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม มาพูดคุยแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่งานต้องเดินหน้า ไม่ได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนายจุลพงษ์ รวมถึงปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เพราะเป็นหน้าที่ของ รมว.อุตสาหกรรม ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวว่านายจุลพงษ์ถูกกดดันจากการทำงาน นายเศรษฐาตอบว่า ไม่แน่ใจว่าความกดดันหมายความว่าอย่างไร แต่หากเป็นเรื่องการติดตามงาน หรือการให้ความสำคัญกับปัญหาที่เกิดขึ้น ถือเป็นการกดดัน มองอีกแบบเราต้องเน้นเนื้อหาเป็นหลักมากกว่า เมื่อถามว่ามีการมองว่าในการลงพื้นที่ จ.ระยอง นายกฯตำหนิการทำงานของนายจุลพงษ์ อาจเป็นสาเหตุของการลาออกหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวว่า “ก็ชัดเจน ผมว่าชัดเจน ก็ตามนั้น”

ต่อข้อถามว่าปัญหาที่เกิดขึ้นถึงเวลาที่นายจุลพงษ์จะลาออกหรือไม่ นายเศรษฐาตอบว่าไม่เกี่ยวกับลาออกหรือไม่ลาออก มองเนื้องานมากกว่า ต้องตามถึงรากฐานของปัญหาที่แท้จริงว่าความเชื่อมโยงของโรงงานที่เกิดปัญหาหรือไม่ ได้มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติไปดูแลเรื่องนี้ด้วย เมื่อถามว่า รมว.อุตสาหกรรม มองว่าควรนำหน่วยงานความมั่นคงมาช่วย เนื่องจากเหตุวางเพลิงที่เกิดขึ้นมีการอำพรางปัญหา นายเศรษฐากล่าวว่า แน่นอน มีการพูดคุยกันเรื่องนี้ เชิญหน่วยงานความมั่นคงเข้ามาช่วยแก้ปัญหา เมื่อถามว่าที่ผ่านมาโรงงานอุตสาหกรรมไม่ค่อยแคร์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม นายเศรษฐากล่าวว่า อย่าให้ไปไกลถึงขั้นไม่แคร์ ยังมีผู้ประกอบการอีกหลายรายที่ยังให้ความสนใจผลกระทบสิ่งแวดล้อม ต้องดูความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่

...

น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม เผยว่า ได้เสนอนายกรัฐมนตรี ให้แต่งตั้งคณะกรรมการเร่งรัดการจัดการของเสียอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบทันที เพื่อให้การบริหารจัดการกากของเสียอุตสาหกรรมให้สามารถเดินหน้าไปได้อย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ โปร่งใส ทุกฝ่ายให้การยอมรับ สามารถขยายข้อมูลข่าวสารที่เป็นข้อเท็จจริงอย่างทั่วถึง รวมทั้งเสนอให้พัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ เน้นย้ำว่าคณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่เสนอแนวทางการพัฒนา และการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการกากของเสียอุตสาหกรรม ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การแก้ไขปัญหาทั้งระบบ และเร่งสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับทุกภาคส่วน รวมทั้งรวบรวมข้อมูล หลักฐาน และตรวจสอบกระบวนการที่เกี่ยวกับการลักลอบกระทำการที่ผิดกฎหมายอีกด้วย

รมว.อุตสาหกรรม เผยด้วยว่า ส่วนคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับกากตะกอนแคดเมียม ที่แต่งตั้งเมื่อวันที่ 18 เม.ย. ล่าสุดคณะกรรมการฯ ได้ตั้งคณะอนุกรรมการฯ ขึ้นมา 3 ชุด เร่งสอบสวนหาข้อเท็จจริง มีผู้เชี่ยวชาญจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องติดตามข้อมูลทั้งหมด นอกจากนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ได้กำชับสั่งการและมอบนโยบายให้ผู้ว่าราชการ 76 จังหวัด พร้อมแต่งตั้งคณะอนุกรรมการระดับจังหวัด ตรวจสอบโรงงานอุตสาหกรรมที่รับดำเนินการของเสียอันตราย รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูงในทุกจังหวัดด้วย

ที่วัดหนองพวา ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ช่วงบ่ายวันเดียวกันมีชาวบ้านกว่า 300 คน ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุไฟไหม้โกดังเก็บกากสารเคมีบริษัท วิน โพรเสส จำกัด เมื่อวันที่ 22 เม.ย. มารวมตัวประท้วงเรียกร้องให้ภาครัฐเร่งแก้ปัญหา หลังจากนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่มาแล้วแต่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข พร้อมชูป้ายเขียนข้อความเรียกร้องให้จัดการขนย้ายสารเคมีออกไปโดยเร็ว เอาโรงงานออกไป และข้อความถึงนายกฯให้ช่วยด้วย มีชาวบ้านคนหนึ่งออกมาถลกเสื้อโชว์ผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสารเคมีในโรงงาน

...

ทั้งนี้ กลุ่มชาวบ้านทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้จัดการขั้นเด็ดขาดกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ 6 ประเด็นดังนี้ 1.ให้ขนย้ายสารเคมีออกจากพื้นที่ทันทีให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน 2.ดำเนินการทางกฎหมายตามคำพิพากษาของศาลโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ผู้ที่เดือดร้อนได้รับค่าชดเชย 3.การป้องกัน การรักษา การเยียวยา การติดตามผลทางด้านสุขภาพประชาชน 4.การเยียวยาค่าชดเชย ค่าเสียเวลา ค่าเดินทาง ค่าที่พักที่ต้องอพยพไปอยู่ที่อื่น 5.การฟื้นฟูระบบนิเวศ ตรวจสอบคุณภาพอากาศ ดิน น้ำ แหล่งน้ำ และผลกระทบอื่นๆ และ 6.ให้นายกฯสั่งการตั้งคณะกรรมการติดตามผลทุกข้อตามที่กล่าวมา มีตัวแทนชาวบ้าน ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ จิตอาสา สื่อมวลชน หรือภาคประชาสังคมเข้าร่วมด้วย

อ่าน “คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ” ทั้งหมดที่นี่