ชาวบ้านหลายตำบลในจังหวัดลพบุรี ผวาหนักไม่กล้าออกจากบ้านตอนกลางคืน หลังดวงไฟสีแดงลอยไปลอยมาอยู่บนท้องฟ้าท่ามกลางความมืดมิด คุณลุงวัย 70 ปี เล่านาทีขนหัวลุก เผชิญหน้า เห็นจะจะ "กระสือตัวเป็นๆ" หัวหงอกมีไส้ห้อย แยกเขี้ยวหน้าทะมึนใส่ ลั่น "ถ้าไม่เจอกับตัว จะไม่เชื่อเด็ดขาดว่าสิ่งนี้มีจริงๆ"

เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2566 ผู้สื่อข่าวได้รับภาพทางไลน์จากนักจัดรายการสถานีวิทยุชื่อดังจังหวัดลพบุรีท่านหนึ่ง ที่มีแฟนข่าวส่งภาพเหตุการณ์ กระสือย่องเข้าไปกินเครื่องในไก่ ในพื้นที่ ต.โพธิ์ตรุ อ.เมืองลพบุรี จ.ลพบุรี กลางดึกที่ผ่านมา พร้อมระบุข้อความว่า "ไม่อยากจะเชื่อแต่มันเกิดขึ้นจริงๆ ครับ กระสือที่โพธิ์ตรุ เข้ากินไก่ชาวบ้านถ่ายไว้ได้"

ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปยังหมู่บ้านดังกล่าว ได้พบกับ น.ส.วีณา หรือน้องปันปัน อายุ 21 ปี คุณแม่แรกคลอด อยู่หมู่ที่ 2 ต.ท้ายตลาด อ.เมือง ลพบุรี เล่าให้ฟังด้วยอาการขนลุกตลอดเวลา ว่าเมื่อต้นเดือนหลังจากที่ได้คลอดลูกหลังพักฟื้น ที่ รพ.ได้ 3 วัน ก็พาลูกน้อยกลับมาบ้าน ทิ้งผ้าอนามัยเปื้อนเลือดในถังขยะ คืนแรกเจอเลยช่วงเวลาประมาณ เวลา 02.00 เศษ ลูกร้องตื่นขึ้นมาดูลูก เดินเข้าห้องน้ำเห็นแสงวาบๆ ที่หน้าต่าง เปิดม่านออกมาดู พบว่าคล้ายตัวอะไรลอยไปมา มีแสงไฟวับวาบคล้ายคนแก่ผมขาวลอยได้จนลับตาไป ตนเองได้เก็บความสงสัยไว้คนเดียว 

...

ผู้สื่อข่าวได้เอาภาพให้ดู น้องปันปันถึงกับขนลุกซู่ เบือนหน้าหนี พร้อมกล่าวว่า ใช่เลยๆๆ แบบนี้เลย จนรุ่งเช้ามีชาวบ้านลือกันว่ามีกระสือแก่ผมขาวออกหากินตอนกลางคืน หลอกหลอนชาวบ้านแล้วหลายราย หลังจากทราบว่า สิ่งที่ตนเองเห็นนั้น เป็นกระสือแน่ๆ ค่ำลงตนเองก็ปิดบ้าน ล็อกกลอนประตู หน้าต่าง ไม่ออกจากห้องจนรุ่งเช้า โดยเอาลูกหลานมานอนเป็นเพื่อนอีกหลายคน 

“เขียนจดหมายติดหน้าบ้านไว้ว่า ปิดบ้านแล้วห้ามเรียกทุกกรณี ลูกหลานต้องการนอน ขอบคุณที่เข้าใจ” และเอาพระเครื่องต่างๆ ขนเข้าห้องป้องกันไว้ก่อนเพื่อความอุ่นใจ 

ขณะที่ คุณยายช่วย จันทร์เทศ อายุ 82 ปี ชาวบ้านหมู่ที่ 7 บ้านโพธิ์ตรุ ได้กล่าวว่า หลายคืนก่อนช่วงกลางคืนได้ยินเสียงลูกหลาน ตะโกนโหวกเหวกว่า มีอะไรลอยไปมาหน้าบ้าน คล้ายกระสือ หลายคนพยายามถ่ายภาพแต่มันหนีไปก่อน แต่มีคนหนึ่งถ่ายไว้ได้ ซึ่งยายเกิดมาอายุ กว่า 80 ปี ก็ไม่เคยเจอ ไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน หรือว่าที่ลูกหลานมันตื่นกลัวเป็นเรื่องจริง จนทราบมาว่าตอนนี้ไม่มีใครกล้าออกไปปักเบ็ด หาปลา หากบ หาเขียดกลางทุ่งนา เพราะเจอกันมาแล้วหลายราย วิ่งหนีกันกระเจิง จนล่าสุดเมื่อวันก่อนกระสือตัวนี้ได้ไปกินเป็ด ลูกหมูของชาวบ้านหมู่ที่ 11 จนเจ้าของเจอกันตัวต่อตัวมาแล้ว จึงเชื่อได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง 

ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านของคุณลุงวิเชียร ดวงเกศ อายุ 70 ปี หมู่ที่ 11 ต.บ้านเบิก เจ้าของเล้าหมู เป็ด ห่าน และไก่ ได้เล่าให้ฟังว่า เจอแล้ว เจอจริงๆ และเจอถึง 2 ครั้ง กระสือแก่ผมขาว สลับดำ เผชิญหน้ากันจะจะ จ้องตาเขม็ง แยกเขี้ยวใส่ ก่อนตนจะใช้เสียมไล่ตี ลอยหนีไปในความมืด ชาวบ้านบอกลองเอาเป็ดสดล่อ สุดท้ายถูกควักเครื่องในไปกินจนหมด ยังไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนนี้ได้ล้อมคอกหมู ล้อมเล้าเป็ดไก่ เปิดไฟฟ้าส่องสว่าง เอาลูกหลานมานอนเป็นเพื่อนเฝ้าระวังตลอดหลายคืน 

...

คุณลุง กล่าวว่า กลางดึกสงัดประมาณ 01.00-02.00 น. วันที่ 13 ต.ค. ที่ผ่านมา ได้ยินเสียงหมาเห่า หมูร้อง เป็ดไก่ร้องลั่น จึงได้ออกมาดู ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นงูเหลือมใหญ่ที่มักแอบย่องเข้ามารัดเอาเป็ดไก่ไปกินประจำ แต่ครั้งนี้หาตัวการที่ทำให้สัตว์เลี้ยงร้องลั่นไม่เจอ จึงได้เดินมาบริเวณที่ทิ้งขี้หมู มีแสงไฟวับวาบ ตรงหน้าไม่ถึง 1 เมตร ใจแทบหล่น เพราะเจอกับกระสือตัวเป็นๆ แยกเขี้ยวหน้าทะมึนใส่ ท่าทางจะเอาเรื่องตน จนใช้เสียมด้ามยาวที่ติดมือมาเงื้อจะตี จนกระสือลอยหลบหนีไป 

พอรุ่งเช้าไปเล่าให้ชาวบ้านฟัง ซึ่งสอดคล้องกับอีกหลายๆ คนที่เจอ แต่ตนเองก็ยังไม่ปักใจเชื่อ อีกคืนต่อมาจึงได้นำเป็ดสดไปมัดไว้ที่ต้นไม้ รุ่งเช้าไปดูเครื่องในเป็ดได้หายไปหมดไปได้อย่างไรไม่รู้ จึงเริ่มเชื่อว่ากระสือมีจริง ซึ่งผู้สื่อข่าวได้เอาภาพกระสือที่โพธิ์ตรุให้ดู ลุงวิเชียรถึงกับขนลุก พร้อมบอกใช่เลยๆๆ ผมเห็นหน้ามันจะจะ ชัดกว่านี้อีก

ทั้งนี้คาดว่ากระสือตัวดังกล่าว ยังคงวนเวียนอยู่ในพื้นที่หลายตำบลในคุ้งน้ำ บ้านสี่คลอง ท้ายตลาด โพธิ์ตรุ บ้านข่อย บ้านเบิก ซึ่งล้วนเจอมาแล้วหลายราย หลายตำบล มันคงหิวได้กลิ่นเหม็นสาบของเป็ดไก่ ห่าน ขี้หมู และกลิ่นคาวจากรกหมูที่เพิ่งคลอดที่ตนเองล้างลงไปที่ทิ้งขี้หมู มันคงได้กลิ่นย่องมากินกลางดึก ตอนนี้กลางคืนลุงจะไม่นอน จะเฝ้าดูเพราะห่วงหมูเล็ก พร้อมลูกหลานที่อาสามานอนเฝ้าด้วย โดยได้ล้อมคอกหมูแรกเกิดรัดกุมไว้ก่อน พร้อมไก่ชนราคาแพง โดยลุงวิเชียรกล่าวทิ้งท้ายว่า “ถ้าไม่เจอกับตัวจะไม่เชื่อเด็ดขาดว่าสิ่งนี้มีจริงๆ”

...