ฟาร์มไข่ไก่รายสุดท้ายของบ้านโป่งกำลังจะเลิกเลี้ยง เหตุจาก "สู้ต้นทุนไม่ไหว" ความร้อนจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ส่งผลกระทบ ไก่กินอาหารน้อยลง ร่างกายไม่สมบูรณ์ เกิดความเครียด ทำให้ขนาดของไข่เล็กลง ขายไม่ได้ราคา ต้องเปิดสปริงเกอร์ตลอดเวลา ราคาค่าตัวไก่สาวก็เพิ่มขึ้น ราคาอาหารไก่ก็ขยับต่อเนื่อง เตรียมโละคอกหันไปปลูกมะพร้าวน้ำหอมแทน
วันที่ 21 ก.ค. 66 ผู้สื่อข่าวไปพบกับ นายรังสรรค์ ตู้แก้ว ชาวบ้าน ต.คุ้งพยอม อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ทำอาชีพเลี้ยงไก่ไข่มาแล้วเกือบ 30 ปี พาไปดูโรงเรือนเลี้ยงไก่ไข่ บนบ่อปลาที่ในอดีตเคยมีไก่มากถึง 6,000 ตัว แต่ปัจจุบันจำต้องปลดระวางไก่ออก แล้วปล่อยทิ้งร้างโรงเรือนบางส่วน เลือกเลี้ยงไก่ไข่สาวเพียง 1,000 ตัว เพื่อเป็นรายได้สำหรับกินอยู่ เหตุสู้ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวไม่ไหว
นายรังสรรค์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนเป็นต้นมา คลื่นความร้อนจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ส่งผลกระทบต่อไก่ไข่ในฟาร์มเป็นอย่างมาก เนื่องจากไก่กินอาหารน้อยลง ร่างกายไม่สมบูรณ์ เกิดความเครียด ทำให้ขนาดของไข่เล็กลง ขายไม่ได้ราคา จากปัญหาดังกล่าว ทางฟาร์มดำเนินการติดตั้งสปริงเกอร์บนหลังคา เปิดระบบน้ำตลอดทั้งวัน เพื่อไล่ความร้อนในโรงเรือน ทำให้มีต้นทุนค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่าตัว ถึงแม้ว่าในช่วงนี้จะเข้าสู่ฤดูฝน แต่สภาพอากาศก็ยังคงร้อนอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องเปิดระบบน้ำสปริงเกอร์เหมือนเดิม นอกจากนั้นยังไม่รวมกับค่าตัวไก่สาว จากเดิมตัวละ 130 บาท ขึ้นมาเป็น 175 บาท และค่าอาหารขยับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิมกระสอบละ 350 บาท เป็น 500 บาท
...
นายรังสรรค์ กล่าวว่า ปัจจุบันพื้นที่ อ.บ้านโป่ง เหลือฟาร์มไก่ไข่ของตนเพียงเจ้าเดียว โดยเพื่อนร่วมอาชีพต่างพากันเลิกอาชีพ และจากปัญหาที่ประดังเข้ามา ทำให้ตนตัดสินใจว่าจะเลิกเลี้ยง หลังจากหมดไก่ชุดนี้ เพราะแบกรับภาระต้นทุนไม่ไหวอีกต่อไป โดยปัจจุบันตนหันมาปลูกมะพร้าวน้ำหอมบนเนื้อที่ 12 ไร่ เป็นการทดแทนอาชีพเดิม ซึ่งมองว่าอนาคตน่าจะไปได้ดีกว่า อย่างไรก็ตามอยากฝากถึงหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เข้ามาแก้ไขปัญหาต้นทุนราคาอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของภาคปศุสัตว์ให้มีราคาลดลง เพราะนอกจากจะเป็นการช่วยเกษตรกรแล้ว ประชาชนก็จะได้บริโภคไข่ไก่ในราคาถูก ช่วยลดค่าครองชีพไปได้อีกทางหนึ่งด้วย.