"กัน จอมพลัง” รุดช่วย นักเรียนหญิงวัย 14 ปี โรงเรียนชื่อดังสุพรรณบุรี โดนคู่อริพาแม่มาช่วยรุมทำร้าย ทั้งตบหน้า ถีบ แถมมีพ่อเป็นกำลังเสริม ขับรถมารับ ท้าจำรถไว้ เจอที่ไหนได้ทุกเมื่อ ชี้ไม่ใช่การช่วยลูก แต่เป็นทำร้ายลูกทางอ้อม

จากกรณี “กัน จอมพลัง” โพสต์เพจส่วนตัวว่า “แม่น้อง 14 จากสุพรรณบุรีขอให้ผมช่วยลูกถูก เด็ก 5 คน พร้อมกับพ่อแม่ผู้ปกครองของคู่กรณีดักรุมทำร้ายเด็ก 14 หน้าโรงเรียนชื่อดังของสุพรรณ เพียงเพราะลูกของผู้ก่อเหตุไม่ชอบขี้หน้า แถมพ่อผู้ก่อเหตุยังบอกว่ามึงจำรถกูไว้เจอเมื่อไร น้องได้ทุกเมื่อ น้องโดนดักทำร้ายมา 2 ครั้งแล้ว ช้ำไปทั้งตัว โดยน้องได้ขอความช่วยเหลือจากครูในโรงเรียน แต่ครูกลับบอกว่าจะกลัวอะไรมันตบมาก็แค่ตบกลับ แถมตอนนี้กลุ่มที่ทำร้ายได้ใจมาก คอมเมนต์กันสนุกสนาน กลัวตำรวจจับรอนาน แล้วไม่เห็นมา ผมรับปากช่วยลุยที่สุพรรณบุรี”

ล่าสุดเวลา 10.00 น. วันที่ 7 ก.ค 2566 “กัน จอมพลัง” ได้พาเด็กหญิงผู้เสียหาย พร้อมแม่ของเด็ก เดินทางเข้าพบตำรวจ สภ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีดังกล่าว โดยมี พ.ต.อ.เฉลิมวุฒิ วงษ์เวียงจันทร์ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี พ.ต.อ.เอกชัย ศรีเมือง ผู้กำกับ สภ.ดอนเจดีย์ พ.ต.อ.เจษฎา พานิชวงศ์ ผู้กำกับกลุ่มงานสอบสวนภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กจังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าหน้าที่ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน คณะครูโรงเรียนบรรหารแจ่มใสวิทยา 1 ร่วมกันพูดคุยถึงกรณีดังกล่าว

กัน จอมพลัง กล่าวว่า วันนี้พาน้องและคุณแม่มาแจ้งความ มาพบกับท่านผู้กำกับ เรื่องคลิปที่เราเห็น มีเด็กถูกรุม ยังไม่พอมีผู้ใหญ่อยู่ในวงในการร่วมทำร้ายด้วย ซึ่งก็เกิดจากเรื่องเล็กน้อยมาก เรื่องน้อยใจกัน เพราะแยกโรงเรียนกัน มันคือเรื่องไร้สาระ แต่มันเกิดทำให้เด็กมีปัญหากัน เวลาเด็กมีปัญหากัน เราเป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง ผมก็เป็นพ่อคนนะ ถ้าลูกมีปัญหากับใคร เราก็ต้องใจเย็นๆ อย่าไปทะเลาะกับใคร แต่เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ กลายเป็นว่าผู้ปกครอง มาร่วมทำร้ายเด็กอายุ 14 ปี มันน่าตกใจ และมันน่าภาคภูมิใจตรงไหน น่าสงสัยว่าเราโตมาเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ ทุกคนเคยผ่านช่วงเวลาที่เกเร แต่วันนี้เราเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว เรายังอยากให้ลูกเราเป็นแบบนั้นเหรอ เราควรสั่งสอนลูกเราไหม แต่กลับไปร่วมให้ลูกเรากระทำความผิดหนักกว่าเดิม

...

“วันนี้ผมเห็นคลิป เด็กทะเลาะกัน ผมรับได้ แต่ผู้ใหญ่มาร่วมรุมทำร้ายเด็ก อันนี้ผมรับไม่ได้ วันนี้ก็เลยมาประสานกับท่านผู้การจังหวัดสุพรรณบุรี ประสานปลัดกระทรวงพัฒนาสังคม ประสานอดีตเลขารัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม มาเต็มที่ มาช่วยเหลือน้อง ไม่ได้มีแค่น้องคนเดียว มีอีกคนด้วย อยู่ในโรงเรียนเดียวกันตอนนี้ เดี๋ยวจะมารื้อระบบให้หมด ใครทำอะไรไว้ ก็ต้องถูกดำเนินการทั้งหมด คนที่กระทำถ้าในโรงเรียนเป็นรุ่นพี่ของกลุ่มนี้ แต่เด็กทั้ง 2 คลิปที่เราเห็น คือกลุ่มเดียวกัน แม่ คือคนเดียวกัน ที่มารุมทำร้ายเขา ถามว่า แม่อาจจะพูดว่าไม่ตั้งใจ สองที อันนี้ไม่ได้ตั้งใจไม่ได้นะ มันน่าหดหู่ แม่คนนี้ทำร้ายเด็กทั้งคู่ ในคลิปก็เห็น ทุบๆ กระทืบยังไม่พอ พ่อยังขู่เด็กด้วย มึงจำทะเบียนรถกูไว้นะ มึงเห็นที่ไหน ได้เมื่อนั้น ท่านยังเป็นผู้ใหญ่ไม่พอ ท่านมีความเป็นผู้ชายหรือเปล่า ท่านจะแก้ปัญหากันแบบนี้ เมื่อไรมันจะจบ ถ้าวันนี้ ผมเอาบ้างล่ะ ผมให้ลูกน้องไปกระทืบพวกท่านบ้างล่ะ มันจะจบไหม มันจะดูเป็นผมรังแกเด็กไหม บ้านเมืองมีกฎหมาย มันควรออกด้วยกฎหมาย ใครทำอะไรก็ว่ากันไป ในส่วนของคุณครูก็อีกอย่างหนึ่ง ที่ผมมาไม่ใช่ว่าน้องไม่พูด ไม่ขอความช่วยเหลือนะ น้องเขาขอความช่วยเหลือแล้ว น้องก็บอกกับคุณครูแล้ว ว่าเดี๋ยวจะมีคนมาดักกระทืบหนู คุณครูก็ถามน้อง บอกให้สู้ ทำมาก็ให้ทำกลับ พวกท่านแก้ปัญหากันแบบนี้เหรอ เขาฝากลูกไว้กับท่านนะ แล้วท่านให้เขาออกไปแล้วโดนกระทืบ ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็ควรปกป้องเด็ก หรือว่าท่านมองว่าเป็นเรื่องตลกไปหมด มันก็ดูแปลกๆ นะ เด็กพูดให้ท่านฟัง ท่านก็ควรจะเชื่อ หรือหาวิธีทางออกเพื่อปกป้องเด็ก ทำไมผมประสานท่านผู้การจังหวัดสุพรรณบุรีมาแล้วท่านส่งตำรวจมาเฝ้าหน้าโรงเรียนแล้วทำได้ แต่ท่านอยู่ในโรงเรียนแล้วท่านทำอะไร”

ด้านนางเอ (นามสมมุติ) แม่ของเด็กผู้เสียหาย กล่าวว่า เหตุล่าสุดเกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคมที่ผ่านมา ลูกสาวโทร. มาบอกว่าโดนเพื่อนรุมกระทืบบาดเจ็บ พอเห็นคลิปลูกโดนรุม ก็รู้สึกทนไม่ไหว เมื่อถามลูกไปว่ามีเรื่องอะไรกัน ลูกก็ยอมรับว่า มีปัญหากับเพื่อน ชื่อ เนม ซึ่งเคยเรียนมาด้วยกัน ต่อมา เนม ย้ายไปเรียนที่อื่น ซึ่งลูกสาวบอกว่า มีปัญหากับเนม และนัดเคลียร์ใจกันมาแล้ว ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่เรื่องไม่จบ วันเกิดเหตุ (3 ก.ค.) ลูกสาว เล่าให้ฟังว่า คู่กรณี ส่งข้อความมาขู่ จะดักทำร้ายอยู่หน้าโรงเรียน ลูกสาวก็ไปบอกครู แต่ครูตอบกลับมาว่าถ้าถูกตบก็ให้ตบสวนกลับไป กระทั่งลูกสาว เดินออกมาจากโรงเรียน ก็เจอ เนม พาเพื่อนชื่อ ออม มารุมทำร้ายลูกสาว ซึ่งประเด็นนี้แม่ไม่ติดใจ แต่ติดใจตรงที่ว่าทำไมผู้ใหญ่ต้องเข้ามารุมทำร้ายเด็กด้วย และหลังเกิดเหตุลูกสาวมีสภาพจิตใจแย่ ไม่กล้าไปโรงเรียน

ทางด้าน นายเฉลิมชัย พิทักษ์วงศ์ หน.งานกิจการนักเรียน เปิดเผยว่า เมื่อวันอังคารที่ 4 กรกฎาคม ในช่วงเช้า ตนในฐานะปฏิบัติหน้าที่ด้านกิจการนักเรียน ได้สอบถามถึงความเป็นมา ว่าเป็นมาอย่างไร ได้ความว่ามีนักเรียนถูกทำร้ายในช่วงเย็นของวันจันทร์ หลังเลิกเรียน บริเวณฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียน และได้สอบถามต่อไปว่า ถูกทำร้ายโดยใคร และได้ทราบว่าถูกทำร้ายโดยบุคคลภายนอก ประกอบกับ 3 เหตุผล หลังเลิกเรียน เป็นบุคคลภายนอก และบริเวณนอกโรงเรียน ก็เลยแนะนำผู้ปกครองไปว่า ให้ไปแจ้งความดำเนินคดี อันนี้คือเหตุผลที่ทางโรงเรียนได้ดำเนินการ หลังจากนั้นก็ได้สืบต่อ เด็กกลุ่มนี้เคยมีเรื่องกันมาแล้ว 2 ครั้ง ซึ่งรายละเอียดอยู่ในคลิป ซึ่งมีคลิปมากกว่านั้นอีก ก็เลยส่งต่อให้ตำรวจดำเนินการต่อ แล้วหลังจากนั้นเราก็รอ เพื่อนำให้ข้อมูลกับตำรวจ อันนี้คือสิ่งที่ทางโรงเรียนได้ดำเนินการไป ปัญหาระหว่างเด็ก 2 กลุ่ม คือทางโรงเรียนเพิ่งจะทราบเมื่อวันอังคารตอนเช้า เพราะเป็นเด็กต่างโรงเรียน ตอนนี้เขาไปเรียนโรงเรียนใหม่ได้ 2 ปีแล้ว เคยเป็นศิษย์เก่า แล้วพอได้สืบกัน เด็กต่างกลุ่มต่างพาพวกไปหากัน กลุ่มนี้เคยยกพวกไปหากลุ่มนี้ กลุ่มนี้ก็เคยยกพวกไปหาอีกกลุ่มเรื่องรุ่นพี่ทำร้ายรุ่นน้องในโรงเรียน เคยมีเกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าเป็นนักเรียนในโรงเรียนด้วยกัน เราจะมีมาตรการเบื้องต้น เชิญผู้ปกครองมา ถ้าผู้ปกครองตกลงกันได้ไม่มีปัญหากันต่อ จบเรื่องแค่นั้น เราจะทำการหักคะแนนความประพฤติของนักเรียนที่ก่อเหตุ 

...

พ.ต.อ.เฉลิมวุฒิ วงษ์เวียงจันทร์ รอง ผบก.ภ.จว.สุพรรณบุรี กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีพยานหลักฐานชัดเจนแล้ว และอยู่ในระหว่างการประสานเชิญตัวกลุ่มคู่กรณี และผู้ปกครองที่อยู่ในคลิปมาสอบปากคำ ซึ่งต้องมีการสอบปากคำเด็กทั้งสองฝ่ายร่วมกับสหวิชาชีพ นอกจากนี้ยังต้องรอผลการตรวจร่างกายของเด็กผู้เสียหายทั้งสองคน เพื่อนำมาประกอบในสำนวนคดี ส่วนมาตรการความดูแลตัวของผู้เสียหาย หลังจากนี้ตำรวจจะจัดวางกำลัง ดูแลและสอดส่องความปลอดภัยบริเวณหน้าโรงเรียนที่เกิดเหตุ จึงอยากให้ผู้ปกครองสบายใจได้ เบื้องต้นสำหรับเด็ก การดำเนินการจะเป็นกระบวนการไกล่เกลี่ย เพราะยังเป็นเยาวชนอยู่ ไม่อยากให้เด็กเสียประวัติ ส่วนผู้ปกครองที่ร่วมกันทำร้ายเด็ก ถือเป็นผู้ใหญ่แล้ว ซึ่งจะต้องมีการสอบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป