สสจ.สมุทรสาคร รายงานพบผู้ติดโควิดเพิ่ม 25 ราย ส่วนมากเป็นคนไทยและมาจาก กทม. ด้านผู้ว่าฯ โพสต์เฟซบุ๊ก เตือนประชาชนไม่ประมาท ย้ำเหตุคุมเข้มป้องกันโควิด-19 หากไม่ช่วยกันยอดป่วยขึ้นหลักพันแน่นอน

เมื่อวันที่ 12 เม.ย.64 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร รายงานสถานการณ์ไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 เมื่อเวลา 00.00 น. วันที่ 11 เม.ย.64 พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 25 ราย โดยเป็นการตรวจพบในโรงพยาบาลที่สมุทรสาคร 10 ราย และมาจากจังหวัดอื่น 15 ราย ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมรวม 17,403 ราย ยังรักษาตัวในโรงพยาบาลรวม 4,523 ราย อยู่ในระหว่างการรักษา 86 ราย และอยู่ระหว่างสังเกตอาการ 25 ราย


ขณะที่ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ระบุว่า นาทีนี้ สถานการณ์ COVID กับสงกรานต์ เป็นเรื่องสำคัญสุดของประเทศ
ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พรุ่งนี้ถึงหลักพันแน่นอน และหากประชาชนไม่เคร่งครัดในมาตรการป้องกัน ตัวเลขจะเป็นหลายพันในวันต่อๆไป บางคนบอกว่า 15 เมษายน คือวันตัดสินอนาคตของประเทศ
บรรยากาศไม่ต่างจากการเสียเอกราชกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 ที่เกิดในช่วงสงกรานต์เช่นกัน กระทรวงสาธารณสุข ออกมาบอกว่า หากรัฐไม่ปิดสถานบันเทิงในจังหวัดต่างๆ จนหลายคนบ่นว่าเดือดร้อน นั้น
การไม่ปิด จะทำให้ผู้ติดเชื้อรายวันสูงถึง 28,000 คน หากตัวเลขสูงขนาดนั้น ประเทศเราจะมีสภาพอย่างไร ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวัน อยู่ในช่วงขาขึ้น สูงเพิ่มขึ้นทุกจังหวัด รวมทั้งสมุทรสาคร ที่แม้วันนี้จะมีผู้ติดเชื้อเพียงหลักหน่วย แต่วันพรุ่งนี้และวันต่อๆไปจะเพิ่มขึ้นเป็นหลักสิบ และหลักร้อย

...


แต่ชาวสมุทรสาครพึงระลึกไว้เถิดว่า
1. ผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 95% เป็นคนไทย หยุดพูดได้แล้วว่าเชื้อนี้มีเฉพาะชาวต่างชาติเป็นหลัก
2. ทั้งหมดเพิ่มจากสถานบันเทิง งานเลี้ยง งานปาร์ตี้ หากสาวให้ลึก เกือบทั้งหมดมีต้นตอมาจากทองหล่อ
3. มากกว่าครึ่งไม่ใช่คนสมุทรสาคร สาเหตุหลัก คือไม่สามารถตรวจใน กทม.ได้ บางคนอ้างว่า โรงพยาบาลไม่มีเตียงรองรับ
4. ในจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ หากเป็นคนสมุทรสาคร ล้วนติดมาจากจังหวัดอื่นเป็นหลัก โดยเฉพาะสถานบันเทิง
5. วัคซีนจะได้ผลในเชิงป้องกัน เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ประชาชนต้องฉีดวัคซีนประมาณ 60% หรืออย่างน้อย 25% จึงจะเริ่มมีผลกระทบต่อชุมชน สมุทรสาครฉีดไปแล้วกว่า 100,000 ราย ไม่ต่ำกว่า 20% ขณะที่ภาพรวมของประเทศ ประมาณ 500,000 ราย ยังไม่ถึง 1%

รู้ข้อมูลอย่างนี้แล้ว คงไม่แปลกใจที่เราต้องเคร่งครัดในมาตรการป้องกันขั้นสูงสุด ไม่ตระหนก และไม่ประมาท
หากตระหนกมากไป หากประมาทเกินไป เราจะไปไหนไม่รอดแน่.