เยาวชนคนร้าย "แก๊งแฮกเกอร์" 4 คน แฮกเฟซบุ๊กผู้เสียหาย เอาไปหลอกธนาคารที่ลพบุรี "ขอเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ใช้การทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์" พนักงานหลงเชื่อ ทำเจ้าของบัญชี สูญเงินกว่า 8 ล้าน โชคดีตำรวจรวบได้ในเวลาอันรวดเร็ว พบผู้ต้องหาอายุน้อยสุดแค่ 20 ปี
เวลา 13.30 น. วันที่ 30 มีนาคม ที่หน้ากองบังคับการสถานีตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรี พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า ผบก. และรอง ผบก.ภ.จว.ลพบุรี เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมตัวคนร้าย 4 คน ที่ร่วมกันแฮกเฟซบุ๊กของผู้อื่น นำไปหลอกเจ้าหน้าที่ธนาคาร ถอนเงินออกไปได้จำนวน 8 ล้านบาท ซึ่งคนร้ายแก๊งนี้ยังมีอายุน้อยสุดเพียง 20 ปีเท่านั้น
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภูธรภาค 1 ตรวจสระบุรี ตำรวจทางหลวง และตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรี ใช้เวลาในการรวบรวมหลักฐาน 10 วัน สามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหาได้ 4 คน ในพื้นที่ อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ทราบชื่อ 1. นายพรเทพ เปียไพบูลย์ อายุ 25 ปี บ้านเลขที่ 22/3 หมู่ที่ 9 ต.หลักชัย อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา 2. นายรุ่งโรจน์ อ่อนละมัย อายุ 23 ปี บ้านเลขที่ 36/1 หมู่ที่ 3 ต.พิกุลทอง อ.เมือง ราชบุรี 3. น.ส.สุภาพรรณ แก้วทอง อายุ 23 ปี บ้านเลขที่ 57 หมู่ 2 ต.บ่อกระดาน อ.ปากท่อ ราชบุรี และ 4. น.ส.สริศา เลิศเรืองฤทธิ์ อายุ 20 ปี บ้านเลขที่ 11/1 หมู่ 2 ต.บ้านไร่ อ.เมืองราชบุรี ตามหมายจับศาลจังหวัดลพบุรี หมายจับที่ 31/2564 ลงวันที่ 28 มี.ค.2564 จับกุมได้ที่ อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ตรวจพบสมุดบันทึก มีรายชื่อเจ้าของบัญชีที่ได้รับความเสียหายกว่า 10 รายชื่อ ใบมรณบัตรปลอมที่ใช้ประกอบเป็นเอกสารปลอม และสมุดบัญชีที่ไม่ใช่ของกลุ่มผู้ต้องหา ที่เชื่อว่านำไปใช้ก่อเหตุ
...
สำหรับคดีนี้ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองลพบุรี ได้รับแจ้งจาก น.ส.สมศรี (นามสมมติ) ผู้เสียหายว่า เมื่อวันที่ 12, 15, 16, 17 และวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ผ่านมา เงินในธนาคารแห่งหนึ่งสาขาวงเวียนสระแก้ว ต.ทะเลชุบศร อ.เมือง ลพบุรี ได้หายไปจำนวนถึง 8,000,000 บาท โดยไม่ทราบสาเหตุ สอบถามทางธนาคาร ก็ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ จึงได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองลพบุรี คาดว่าน่าจะถูกแก๊งแฮกข้อมูล หลอกนำเงินจากธนาคารออกไป
จนต่อมาทราบว่าแผนประทุษกรรมของคนร้าย ใช้วิธีหาข้อมูลจากเพจเฟซบุ๊ก โดยที่ไม่เคยรู้จักเจ้าของบัญชีมาก่อน และไม่มีความใกล้ชิดเจ้าของบัญชีด้วย แอบอ้างเป็นผู้เสียหาย โดยทำทีโทรติดต่อกับพนักงานธนาคาร ขอเปลี่ยนอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (Mobile Banking และ Non-card) พนักงานหลงเชื่อ ทำการเปลี่ยนข้อมูลทางบัญชีตามที่คนร้ายต้องการ ขอรหัสเปิดใช้งานใหม่กับอุปกรณ์ใหม่ โดยผู้ต้องหากลุ่มนี้รับซื้อบัญชีจากผู้เปิดบัญชีให้ เพื่อใช้รับโอนเงินจากบัญชีที่มียอดเงินฝากธนาคาร เมื่อได้เงินจากการโอนเงินจากธนาคารมายังบัญชีที่ซื้อไว้แล้ว ก็จะตระเวนถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม หรือบางครั้งก็ใช้วิธีถอนเงินสด
ภายหลังจับกุม ตำรวจสามารถตรวจยึดทรัพย์สิน เงินสด ทองรูปพรรณ โทรศัพท์มือถือ รถยนต์ 3 คัน จักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน อาวุธปืนขนาด 9 มม. 1 กระบอก และพบพยานหลักฐานสำคัญจากโทรศัพท์มือถือที่กลุ่มคนร้ายใช้โอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยพบข้อมูลการแจ้งเตือนของธนาคารในโทรศัพท์มือถือของกลุ่มผู้ต้องหา เนื่องจากกลุ่มผู้ต้องหาได้แฮกเปลี่ยนอีเมลที่ผู้เสียหายแจ้งไว้กับธนาคาร ทำให้ระบบการตอบโต้อัตโนมัติของธนาคารเมื่อกลุ่มผู้ต้องหาทำธุรกรรม จะไม่มีการแจ้งเตือนไปยังเจ้าของบัญชี เนื่องจากกลุ่มผู้ต้องหาใช้วิธีเปลี่ยนอีเมลเจ้าของบัญชีเป็นอีเมลขยะ
จากการสอบสวน ผู้ต้องหาทั้ง 4 คนให้การรับสารภาพและให้การซัดทอดผู้ร่วมขบวนการอีกหลายคน อย่างไรก็ตาม ตำรวจเชื่อว่ายังมีผู้เสียหายรายอื่นอีกซึ่งต้องขอสอบสวนเพื่อขยายผลต่อ พร้อมเตือนให้ระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ควรรอบคอบรัดกุม และหมั่นตรวจบัญชีของตนเองให้บ่อยครั้งขึ้น ที่สำคัญอย่าได้หลงเชื่อบุคคลอื่น เพราะแม้แต่เจ้าหน้าที่ธนาคารยังโดนหลอกได้