พระพยอม” ปลงแล้ว พร้อมขนย้ายข้าวของออกจากที่ดินพิพาทหน้าวัดสวนแก้วภายในสิ้นเดือน มิ.ย.นี้ หลังโจทก์ให้ทนายยื่นโนติสขู่ดำเนินคดี ทั้งที่มูลนิธิวัดสวนแก้วจ่ายเงินซื้อมาอย่างถูกต้องในราคา 10 ล้านบาท จู่ๆทายาทเจ้าของที่ดินเดิมโผล่ฟ้องร้องเพิกถอนสิทธิ์การครอบครองปรปักษ์ ต่อสู้กันถึง 3 ศาลกลับแพ้รวด เปรยกฎหมายบางทีก็ไม่ให้ความเป็นธรรม แต่ยังเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของกฎแห่งกรรม

กลับมาเป็นข่าวครึกโครมอีกครั้ง กรณีที่โยมคนหนึ่ง ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอออกโฉนดที่ดิน 2 แปลง อ้างครอบครองปรปักษ์มากว่า 30 ปี กระทั่งศาลมีคำสั่งให้กรมที่ดินออกโฉนดให้กัโยมคนนั้น เป็นผู้มีสิทธิ์ในที่ดิน จากนั้นโยมคนนั้น ได้นำที่ดินแปลงหน้าวัดสวนแก้ว อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี จำนวน 1 ไร่ 1 งาน 55 ตร.ว. มาขายให้มูลนิธิสวนแก้วในราคา 10 ล้านบาท ต่อมาเกิดปัญหาขึ้น เมื่อทายาทเจ้าของที่ดินเดิมได้ฟ้องร้องต่อศาล ให้เพิกถอนสิทธิ์การครอบครองปรปักษ์ของโยมคนนั้น ปรากฏว่าชนะคดี ส่งผลให้มูลนิธิสวนแก้ว ผู้ที่ซื้อที่ดินจากโยมคนนั้น ต้องคืนที่ดินให้กับทายาทเจ้าของเดิม แม้จะมีโฉนดที่ดินที่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่ในมือ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้และต้องสูญเงิน 10 ล้านไปฟรีๆ เนื่องจากโยมคนนั้นอ้างว่าใช้เงินไปหมดแล้ว ทำให้พระพยอมรู้สึกน้อยใจถึงกับพูดเปรยว่า “จะนำโฉนดที่ดินมาพับเป็นถุงกล้วยแขกน่าจะมีประโยชน์กว่า” จนกลายเป็นวลีที่โด่งดัง

ความคืบหน้าของเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ว่าที่ พ.ต.สมบัติ วงศ์กำแหง กรรมการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย เนติบัณฑิตยสภา เปิดเผยว่า ช่วงบ่ายวันที่ 11 มิ.ย. ตนพร้อมด้วยนายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี เข้านมัสการพระราชธรรมนิเทศ หรือพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว เพื่อให้ความช่วยเหลือกรณี “ที่ดินถุงกล้วยแขก” เกิดประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้ง หลังได้รับจดหมายเตือนจากคู่ความฝ่ายชนะคดี นายพันธ์ทอง หิรัญประดิษฐ์ โจทก์ในคดีฟ้องเรียกคืนที่ดิน มีหนังสือแจ้งให้พระพยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ให้เวลารื้อถอนภายใน 1 เดือน มิฉะนั้นจะดำเนินคดีกับวัดต่อไป

...

ว่าที่ พ.ต.สมบัติกล่าวว่า การเดินทางมาพบ พระพยอมครั้งนี้ เพื่อรับทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดและให้คำปรึกษาในการปฏิบัติให้ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและไม่เกิดปัญหาในทางปฏิบัติต่อไป จากข้อเท็จจริงที่ได้ในเบื้องต้นปรากฏว่า หลังจากศาลพิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินที่วัดซื้อมาจากโยมคนนั้น ตามที่เคยปรากฏเป็นข่าวครึกโครมปี 2550 หลังจากคดีดังกล่าว วัดสวนแก้วและมูลนิธิสวนแก้ว ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้วัดและมูลนิธิได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ และได้ต่อสู้คดีกันไปถึงศาลฎีกา และศาลฎีกาได้มีคำสั่งยกคำร้องฎีกา ในปลายปี 2562 เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ฝ่ายเจ้าของที่ดินได้ทำหนังสือบอกกล่าวให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายดังกล่าว

“ปกติตามขั้นตอนของกฎหมาย หากวัดและมูลนิธิยังไม่ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท เจ้าของที่ดินจะต้องไปยื่นฟ้องร้องต่อศาล เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งต่อไป และคู่ความสามารถอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้ตามกฎหมาย คงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร ทางวัดและมูลนิธิได้มอบเอกสารพยานหลักฐานต่างๆให้ดูจำนวนมาก คงต้องให้ทนายความตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายโดยละเอียดอีกครั้ง และกำหนดแนวทางในการดำเนินการเพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับความเป็นธรรม หากมีช่องทางที่สามารถรื้อฟื้นคดีขึ้นมาใหม่ได้ คงต้องดำเนินการให้ถึงที่สุดต่อไป ในคดีแพ่งแม้ศาลจะพิพากษาแล้วก็ตาม คู่ความทุกฝ่ายยังสามารถเจรจาตกลงกันได้ตลอดเวลา” ว่าที่ พ.ต.สมบัติกล่าว

ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปที่วัดสวนแก้ว ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เพื่อสอบถามกรณีเรื่องที่ดินพิพาทกับพระราชธรรมนิเทศ หรือพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว กล่าวว่า เรื่องที่ดินแปลงที่มูลนิธิวัดสวนแก้วได้ซื้อมาจากโยมคนหนึ่งนำมาขายให้ราคา 10 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2547 มูลนิธิได้ทำตามขั้นตอนกฎหมายอย่างถูกต้อง แต่ตอนหลังลูกๆของเจ้าของที่ดินทราบเรื่อง ได้ไปฟ้องต่อศาลเพื่อขอที่ดินคืน และศาลมีคำสั่งให้มูลนิธิวัดสวนแก้ว คืนที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับทายาทเจ้าของที่ดิน ทางวัดได้ปลูกห้องพักให้คนงานอยู่อาศัยแค่นั้น ตอนนี้เจ้าของที่ดินได้ทำรั้วสังกะสีปิดกั้นไม่ให้เข้าออกในที่ดิน แต่เปิดช่องทางให้พอเดินเข้าออกได้

พระพยอมกล่าวอีกว่า เมื่อช่วงต้นเดือน มิ.ย. มีทนายและเจ้าของที่ดินเดินทางมาที่วัด แจ้งกับอาตมาว่าหมดเวลาแล้ว ศาลสั่งแล้ว ให้ทางวัดขนย้าย ข้าวของออกจากพื้นที่ให้หมดภายในสิ้นเดือนนี้ และเมื่อวานนี้ ทีมงานของนายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม เดินทางมาที่วัด สอบถามอาตมาว่า มีหมายไล่ หมายแปะ หรือหมายบังคับคดีมีหรือไม่ นายปรเมศวร์ บอกว่าถ้าเรื่องนี้เขารู้ก่อน หลวงพ่อจะไม่เสียเงินสักบาทเดียว

“เรื่องที่ดินนั้น อาตมาไม่ได้มีความอยากได้แล้ว แต่มีความรู้สึกแปลกมากว่าตัวละครทั้งหมด 5 คน คือทนายแต่งเรื่อง เจ้าหน้าที่ออกโฉนด คนปั๊มโฉนด คนนำมาขาย ไม่ผิด แต่คนซื้อกลับมีความผิด ตอนนี้ไม่เป็นไรเพราะอาตมาปลงแล้ว จะให้ย้ายออกก็ย้าย เราถือว่ากฎหมายนี้บางทีก็ไม่ให้ความเป็นธรรม แต่กฎแห่งกรรม เราเชื่อว่ายังศักดิ์สิทธิ์ ประเทศไทยเราก็เป็นแบบนี้” พระพยอมกล่าว