ทีมข่าวเจาะประเด็น ย้อนเรื่องราวอันโด่งดังข้ามยุคข้ามสมัย “ขุดหาสมบัติกองทัพญี่ปุ่น” มหากาพย์เรื่องราวความเชื่อ ความพิศวงของบรรดานักขุดทองที่ไปทิ้งชีวิตกันในถ้ำ เพียงเพื่อเสาะหามหาสมบัติที่เขา(ลือ)ว่า มีอยู่จริง จนรัฐบาลไทยต้องส่งคนลงมาช่วยกันเสาะหา นายกรัฐมนตรีต้องลงมาดูด้วยตา “สมบัติกองทัพญี่ปุ่น ในถ้ำลิเจีย” มีจริงหรือไม่ เป็นมาอย่างไร ติดตามได้ในรายงานพิเศษชิ้นนี้โดยละเอียด...

จากการเล่าลือถึงการขุดค้นพบขุมสมบัติจำนวนมหาศาลของทหารญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นำมาฝังซุกซ่อนอยู่ตามภูเขาต่างๆ ในพื้นที่ จ.กาญจบุรี โดยมีทหารญี่ปุ่นทิ้งเอาไว้หลังจากยอมแพ้สงคราม

หลังจากนั้น นักแสวงโชคทั้งชาวไทยและต่างประเทศต่างพากันพยายามค้นหามานานนับสิบๆ ปี จนมีรายงานข่าวแจ้งว่า มีการขุดพบขุมสมบัติมหาศาลของทหารญี่ปุ่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นทองคำแท่ง แก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดา แต่มีการปิดข่าว เมื่อชาวเมืองกาญจนบุรีทราบเรื่อง จึงลือกันออกไปอย่างกว้างขวาง

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนไทยและคนต่างชาติ บุกบั่นเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อค้นหาขุมทรัพย์ของทหารญี่ปุ่น โดยมาในรูปแบบของนักท่องเที่ยว นักนิยมไพรท่องป่าล่าสัตว์ แต่แท้จริงแล้ว คนพวกนี้คือ นักแสวงโชคที่เข้าไปขุดหาสมบัติ หรือขุมทองที่ทหารญี่ปุ่นทิ้งไว้

...

พยานมีชีวิตมากมาย เคยเห็นสมบัติ พร้อมบอกลายแทงขุดค้น

8 ธันวามคม 2538 (ตรงกับวันที่ญี่ปุ่นยกทัพขึ้นบกยึดประเทศไทยพอดิบพอดี) นักแสวงโชคได้ขุดพบทองคำแท่งเป็นมูลค่าทหาศาลที่ภูเขาลูกหนึ่ง และจากการสอบถามจากคนรุ่นปู่รุ่นย่า หรือผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ทหารญี่ปุ่นเกณฑ์เชลยศึกมาสร้างทางรถไฟสายมรณะ ได้ความว่า ทหารญี่ปุ่นได้นำทองคำแท่งและสมบัติต่างๆ มาฝัง และซุกซ่อนตามถ้ำต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่เขต อ.ท่าม่วง อ.เมือง อ.ไทรโยค อ.ทองผาภูมิ และ อ.สังขละบุรี โดยเลือกซุกซ่อนตามอุโมงค์ ตามแนวรางรถไฟสายมรณะ

26 ก.ย.2538 นายสงวน อ่องสมบัติ อายุ 82 ปี(ในสมัยนั้น) เป็นผู้ทำหนังสือถึงกรมศิลปากร ขออนุญาตเปิดถ้ำต่างๆ ในเขต จ.กาญจนบุรี เพื่อที่จะนำขุมทรัพย์ของทหารญี่ปุ่นออกมามอบให้แก่รัฐบาลไทย โดยเนื้อหาในหนังสือ เปิดเผยว่า เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตนเป็นพ่อค้าที่ค้าขายกับพวกทหารญี่ปุ่น ทำให้การเข้านอกออกในค่ายทหารเป็นไปอย่างสะดวกสบาย จึงสังเกตเห็นทหารญี่ปุ่นยึดมาได้จากการรบในเกาะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ เกาะชวา มาเลเซีย สิงคโปร์ และ พม่า เป็นต้น

โดยจุดที่ นายสงวน เห็นทหารญี่ปุ่นฝังสมบัติ คือ บ้านลิเจีย ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี, เขตยอดเขา อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี, ถ้ำใกล้ๆ กับน้ำตกไทรโยคน้อย และเขตน้ำตกไทรโยคใหญ่ ซึ่งทั้งหมดอยู่ไม่ไกลจากทางรถไฟสายมรณะที่ทหารญี่ปุ่นได้สร้างขึ้น

18 ธ.ค.2538 ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ รมช.ศึกษาธิการ ส.ส.ราชบุรี ให้สัมภาษณ์ว่า ตนทราบข่าวการขุดค้นหาสมบัติญี่ปุ่นมาด้วยเช่นกัน และได้เดินทางไปยังสถานที่ดังกล่าวด้วยตนเอง เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. ได้รับคำยืนยันที่น่าเชื่อถือได้ว่าน่าจะเป็นความจริง หากเป็นไปตามคำบอกเล่าจริงก็จะทำให้ประเทศไทยมีงบประมาณใช้พัฒนาบ้านเมืองไปได้ถึง 20 ปี และเท่าที่ได้รับการบอกเล่า ทราบว่า นอกจากทองคำแท่งแล้ว ยังเป็นแก้วแหวนเงินทองที่ขุดค้นพบมีขนาดเท่ากับบรรจุในโบกี้รถไฟได้ถึง 1 โบกี้

บริษัทใหญ่ ขอรับผิดชอบขุดหาสมบัติ ประสานแม่ทัพญี่ปุ่นชี้จุดซ่อน

ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ยังบอกกับสื่ออีกว่า กลุ่มนักธุรกิจบริษัทหนึ่งที่ค้นหาสมบัติที่ฝังอยู่ในแผ่นดินไทยติดต่อมาหาตน แสดงความจํานงที่จะขุด(ได้รับส่วนแบ่ง 1 ใน 3 ส่วนตามเงื่อนไข) พร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังว่าได้ลายแทงมาฉบับหนึ่งที่จารึกไว้เป็นภาษาญี่ปุ่น ระบุถึงสมบัติของกองทัพทหารญี่ปุ่นที่ถูกฝังไว้กลางป่า แห่งหนึ่งใน จ.กาญจนบุรี

เมื่อการขุดถ้ำโดยใช้เครื่องจักรกลเริ่มดำเนินการ ทางบริษัทได้นําแม่ชีหนานหล้า อายุ 43 ปี อดีตเมียของทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ระหว่างที่ทหารญี่ปุ่นนําสมบัติฝังไว้เป็นผู้ชี้จุด กระทั่งพบ ตู้รถไฟ 3 โบกี้ พร้อมรางรถไฟถูกฝังลึกใต้ดินประมาณ 6 เมตร มีความยาวประมาณ 100 เมตร จากนั้นจึงนําไปสู่ปากโพรง ซึ่งเป็นที่ซ่อนโบกี้รถไฟบรรทุกสมบัติ โดยมีการระเบิดดินกลบช่องเขาพราง จนดูสภาพเหมือนเนินดินธรรมดา

...

แม่ชีหนานหล้า ปรางค์โอษฐ์ ภรรยาทหารญี่ปุ่นยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 อายุ 83 ปี เปิดเผยว่า อยู่ที่ จ.กาญจนบุรี ตั้งแต่อายุ 30 ปี ทําหน้าที่แม่บ้านให้กับทหารญี่ปุ่น และเคยเห็นโบกี้รถไฟ จํานวน 3 โบกี้ โดยโบกี้แรกจะบรรทุกปืน โบกี้ที่ 2 บรรทุกจักรเย็บผ้า และโบกี้สุดท้ายบรรทุกเงินเก่าของพม่า ปัจจุบันตนไม่ทราบว่าสิ่งของดังกล่าวจะอยู่ครบหรือไม่ แต่ก่อนที่ทหารญี่ปุ่นจะยกทัพกลับประเทศ ก็ได้มอบไม้ติ้วเขียนเป็นลายแทงด้วยภาษาญี่ปุ่นสีแดงให้ตน 1 อัน และผ้ากํามะหยี่ลายแทงอีก 1 ผืน ซึ่งก่อนกลับ ทหารญี่ปุ่นบอกว่าอีก 3 ปี จะกลับมาหา และจะแบ่งสมบัติที่ซ่อนไว้ให้กับตนครึ่งหนึ่ง แต่จนบัดนี้ทหารญี่ปุ่นคนดังกล่าวก็ไม่เดินทางกลับมา

นอกจากนี้ ทางบริษัทที่รับผิดชอบการขุด ยังมีการเชิญรองแม่ทัพทหารญี่ปุ่นที่ยังมีชีวิตอยู่มาชี้จุด และบอกเล่ารายละเอียดทั้งหมด โดยรองแม่ทัพทหารญี่ปุ่น ได้บอกกับบริษัทที่ทำการขุดว่า เขาไม่ต้องการสมบัติ แต่ต้องการดาบซามูไร เครื่องแบบทหารญี่ปุ่นกลับไป ส่วนที่เหลือจะให้ทางประเทศไทยทั้งหมด

อาถรรพณ์ผีหวงสมบัติ สะพัดทั่ว ชาวบ้านได้ยินเสียงคนร้องกลางดึก

...

20 ธันวาคม 2538 พล.ต.ท.จํารัศ มังคลารัตน์ อดีต ส.ส.จังหวัดกาญจนบุรี 3 สมัย ออกมาเปิดเผยว่า มีพระภิกษุชื่อหลวงพ่ออภิสิทธิ์ อายุ 60 ปี อยู่ที่วัดร้างโบราณ จ.ชัยนาท ติดต่อมา และเล่าเรื่องทรัพย์สมบัติของทหารญี่ปุ่นที่ถูกฝังในที่ต่างๆ ในเขต จ.กาญจนบุรี ว่าในถ้ำดังกล่าวมีทองคําแท่ง ดาบซามูไร และเสื้อผ้าเครื่องแบบทหารทัพบกญี่ปุ่น รวมถึงกองกระดูกของมนุษย์

21 ธันวาคม 2538 ชาวบ้านในละแวกที่มีการขุดหาสมบัติ เล่ากับสื่อว่า ในยามกลางคืนทุกวันพระ ชาวบ้านที่เดินผ่านในจุดที่ขุดพบรางรถไฟ มักจะได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างโหยหวนของผู้หญิง เหมือนกับถูกทรมาน บางครั้งจะได้ยินเสียงพูดภาษาญี่ปุ่นคล้ายกับกําลังลงโทษผู้หญิง จนไม่มีผู้ใดกล้าเดินผ่านในละแวกดังกล่าว


วิศวกรชาวเยอรมัน ยันไม่มีสมบัติ เป็นแค่หลุมหลบภัยทหารญี่ปุ่นเท่านั้น

ในวันเดียวกัน นายเฮนวิช วิศวกรชาวเยอรมัน พร้อมคณะ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างอุโมงค์ที่หลบภัย เดินทางเข้ามาตรวจสอบจุดที่ขุดพบรางรถไฟ อ.ทองผาภูมิ โดยให้ความเห็นว่าจากประสบการณ์ที่ผ่านงานด้านนี้มามากมายทั่วโลก เห็นว่าถ้ำดังกล่าวเป็นสถานีของรถไฟ หรือหลุมหลบภัยทางอากาศของทหารญี่ปุ่นเท่านั้น ไม่ใช่เป็นที่ซ่อนสมบัติแต่อย่างใด

...


22 ธันวาคม 2538 ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ รมช.ศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนเชื่อว่าน่าจะมีขุมสมบัติของทหารญี่ปุ่น สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่จริง และในฐานะที่ตนมีหน้าที่ดูแลกรมศิลปากร ถ้าสมบัติหายไปโดยที่ตนไม่เอาใจใส่ ต้องถือว่าตนละเว้นต่อหน้าที่

บริษัทที่รับผิดชอบการขุด ออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า หลวงพ่ออภิสิทธิ์ เจ้าสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งใจ จ.ชัยนาท ไปพบกรุสมบัติขณะธุดงค์ขึ้นไปปักกลดบนเขาลิเจียเมื่อหลายปีก่อน ขณะที่จําวัดอยู่เกิดเหตุการณ์ประหลาดคือ วิญญาณทหารญี่ปุ่นชื่อ ร.อ.อาชิ โอตะ มาบอกว่าภายในถ้ำเขาลิเจียมีทรัพย์สมบัติซ่อนอยู่ ขอให้นําออกไปเป็นทรัพย์ของแผ่นดิน เพื่อที่ตัวเองจะได้ไปผุดไปเกิด พร้อมกับให้คาถาไว้บทหนึ่ง

พบเพชรนิลจินดา เงินดอลลาร์ เต็มโบกี้!

31 ธันวาคม 2538 บริษัทที่รับผิดชอบการขุด ออกมาเปิดเผยว่า ทรัพย์สมบัติที่คณะของตนสํารวจพบที่ซ่อนอยู่ในถ้ำเขาลิเจีย มีทั้งทองคําแท่ง เพชรนิลจินดา และธนบัตรสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เต็มตู้โบกี้รถไฟ

2 มกราคม 2539 บริษัทที่รับผิดชอบการขุด ออกมาแสดงความดีใจอีกครั้งว่า การค้นหาขุมสมบัติของทหารญี่ปุ่นที่ซ่อนอยู่ในเขาลิเจีย อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ประสบผลสําเร็จ โดยจะเปิดเผยกรุมหาสมบัติที่พบต่อสาธารณชนในเร็วๆ นี้ เพื่อมอบเป็นของขวัญต่อประเทศไทย พร้อมมีมาตรการคุ้มกันและวางแผนให้รอบคอบปลอดภัย

นักวิชาการ นักร้อง นักโบราณคดี ออกมาติง สมบัติไม่มีอยู่จริง ป่าไม้ถูกทำลาย!

ร.ศ.ศรีศักร วัลลิโภดม อาจารย์คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร(ในสมัยนั้น) กล่าวถึงผู้ที่เข้าไปขุดหาสมบัติว่า เป็นเรื่องไร้สาระที่เกิดจากการนําเรื่องที่เล่าต่อกันมาจากหลายๆ คนมาปะติดปะต่อเป็นเรื่องเดียวกัน ทําให้เกิดความเข้าใจผิดขึ้น ญี่ปุ่นเป็นประเทศใหญ่หากจะมีการฝังหรือซ่อนสมบัติ ต้องจารึกไว้เป็นหลักฐาน การเข้าไปขุดหาสมบัติตามป่าหรือภูเขา หรือถ้ำต่างๆ มีแต่จะทําให้เกิดความเสียหายแก่ ธรรมชาติ ไม่มีคุณค่าทางด้านประวัติศาสตร์แต่อย่างใด

3 มกราคม 2539 ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวถึงกรณีที่มีนักวิชาการ นักโบราณคดี และนักการเมืองท้องถิ่น ออกมาติติงให้ยุติการขุดค้นหาสมบัติทหารญี่ปุ่น ว่า การขุดในบริเวณดังกล่าว ไม่มีการทําลายธรรมชาติ

นายยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว นักร้องเพลงเพื่อชีวิต กล่าวว่า ป่าไม้จํานวนมากต้องถูกทําลาย ส่งผลกระทบถึงที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า พื้นดินตรงที่ถูกขุดถึงแม้จะกลบคืนก็ใช่ว่าจะมีสภาพดีเหมือนเดิม เป็นการกระทําที่ไม่มีการวางแผนให้รอบคอบ ทํากันแบบซี้ซั้ว โดยเฉพาะ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ รมช.ศึกษาธิการ ซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่ในการขุดทองครั้งนี้ น่าจะยั้งคิดมากกว่านี้ เพราะเป็นถึงระดับรัฐมนตรี จึงขอให้กรมป่าไม้เร่งตรวจสอบอย่างจริงจังว่า มีการบุกรุกทําลายป่าหรือเปล่า รวมทั้งตรวจสอบว่ามีใบอนุญาตให้ขุดหรือไม่ หากพบว่าทําผิดจริงต้องจับกุมทันที ไม่ว่าจะเป็นใครระดับไหนก็ไม่ควรละเว้น

เริ่มโอละพ่อ! สมบัติ จะมีอยู่จริงหรือไม่?

9 มกราคม 2539 บริษัทที่รับผิดชอบการขุดแถลงข่าวว่า ขอเลื่อน(เลื่อนเป็นครั้งที่ 2) การพาสื่อมวลชนไปชมการเปิดกรุสมบัติ ในถ้ำบริเวณเขาลิเจีย ออกไปอีก 2-3 วัน เนื่องจากที่ผ่านมา ทางราชการมีคําสั่งไม่ให้เปิดกรุสมบัติอย่างเด็ดขาด จึงต้องเคลียร์ปัญหากับทางผู้ใหญ่ก่อน


10 มกราคม 2539 แม่ชีหนานหล้า หรือ แม่ชี “อังศุมาลิน” ซึ่งเคยอ้างตัวเป็นภรรยาทหารญี่ปุ่น และเป็นเจ้าของตํานานลายแทงขุมสมบัติ ยอมรับว่า ไม่เคยเป็นภรรยาของทหารญี่ปุ่น เป็นเพียงเมียชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว

11 มกราคม 2539 ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ รมช.ศึกษาธิการ เข้าพบกับรอง ผวจ.กาญจนบุรี เพื่อแจ้งว่าตนจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวใดๆ ทั้งสิ้นกับบริษัทที่รับผิดชอบการขุดสมบัติ

16 พฤศจิกายน 2541 ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ อดีต รมช.ศึกษาธิการ เข้าไปตั้งแคมป์ค้นหาทองคําของทหารญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่บริเวณอุทยานแห่งชาติเขาแหลม หลังวัดป่าลิเจีย หมู่ที่ 4 ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี

24 พฤศจิกายน 2541 เจ้าหน้าฝ่ายเลขานุการประจําสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจําประเทศไทย ให้ความเห็นว่า การขุดค้นหาสมบัติ ทางญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นเรื่องไม่จริง และไม่มีข้อมูลพอที่จะเชื่อถือได้ เพราะหากเป็นเรื่องจริง ทหารญี่ปุ่นมาฝังทองคํา หรือซ่อนทองคําไว้จริง ทางการญี่ปุ่นต้องดําเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งไปแล้ว และถ้าหากพบว่ามีทองคําอยู่จริง และพิสูจน์ได้ว่าเป็นของทหารญี่ปุ่น ทางการญี่ปุ่นคงต้องขอคืน แต่เชื่อว่าไม่มีจริง เพราะถ้าประเทศญี่ปุ่นมีทองคํามากมายอย่างที่เป็นข่าว คงไม่แพ้สงคราม เรื่องนี้เป็นความเชื่อของชาวบ้านที่เล่าต่อๆ กันมา

เชาวรินธร์ รุกหนัก มั่นใจสมบัติอยู่ในถ้ำ ทำทุกทางให้รัฐยอมขุด

ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ กล่าวว่า ตนจะเดินทางเข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช เพื่อถวายสักการะ ขอพรเพื่อให้การทํางานเรื่องทองประสบผลสําเร็จ และลุล่วงไปด้วยดี หากการขุดหาทองคําไม่พบ ตนจะแถลงข่าวให้ประชาชนทราบ และจะล้างมือไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป 


5 ธันวาคม 2541 นายปลอดประสพ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ เดินทางมายังถ้ำลิเจีย เพื่อดูจุดที่จะเปิดปากถ้ำ และทําพิธีจุดธูปเทียนสักการะบูชาพระพุทธรูป หลังเสร็จพิธีได้ให้ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ ชี้จุดเปิดปากถ้ำ 2 จุด จากนั้นจึงสั่งให้เจ้าหน้าที่ใช้เสียมและจอบงัดก้อนหินออกจากปากถ้ำ และใช้ลวดสลิงดึงก้อนหินลงมาทีละก้อน ผ่านไป 20 นาที ก็ยังไม่พบปากถ้ำแต่อย่างใด

นายปลอดประสพ กล่าวว่า ที่เดินทางมาวันนี้เพื่อดูจุดที่จะเปิดปากถ้ำ การทํางานจะใช้เพียงจอบกับเสียมเท่านั้น และจะใช้ลวดสลิงดึงก้อนหินลงจากปากถ้ำทีละก้อน สั่งห้ามใช้เครื่องมือหนักโดยเด็ดขาด และการทํางานขุดหาสมบัติในครั้งนี้จะใช้เวลาเพียง 15 วัน หากไม่พบก็จะห้ามไม่ให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้อีก

20 ธันวาคม 2541 ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธิศักดิ์ศิริ เข้าพบ นายปลอดประสพ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ เพื่อเสนอว่าสมควรที่จะใช้เครื่องมือหนักสนับสนุนการทํางาน เนื่องจากการทํางานของเจ้าหน้าที่ในช่วง 15 วันที่ผ่านมานั้น ไม่สามารถดําเนินการอะไรได้มากนัก จึงไม่อาจจะสรุปผลว่าสมบัติมีจริงหรือไม่

12 มีนาคม 2543 นายปลอดประสพ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ ยืนยันว่าจะไม่มีการพิจารณาทบทวนหนังสือขออนุญาตของ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ


ใครจะคิดว่า ไม่มีสมบัติก็เรื่องของเขา แต่เชาวรินธร์มั่นใจว่ามี!

15 มีนาคม 2543 ร.ต.ท.เชาวรินธร์​ ลัทธศักดิ์ศิริ ยืนยันที่จะยื่นหนังสือถึงกรมป่าไม้เพื่อขอเข้าไปขุดทอง และไม่มีใครมาห้ามตนได้ นายปลอดประสพ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ จะอนุญาตหรือไม่ก็ตาม แต่ตนมีสิทธิที่จะทํา และการที่นายปลอดประสพ ระบุว่า เคยให้กรมทรัพยากรธรณีสํารวจแล้ว ไม่พบว่ามีทองฝังอยู่ใต้ดินก็เป็นเรื่องของเขา แต่ตนเชื่อว่ามี สิ่งที่ตนขออนุญาต คือต้องการให้เอาเครื่องจักรเข้าไปทํางาน

คณะขุดทองตายคาถ้ำ 6 ศพ!
 23 กรกฎาคม 2543 คณะขุดทอง ซึ่งเป็นชาวบ้านในอําเภอบ้านโป่ง จ.ราชบุรี บุกเข้าไปสํารวจภายในถ้ำ นําเครื่องสูบน้ําและอุปกรณ์กําเนิดไฟฟ้าเข้าไปติดตั้งและเดินเครื่องเพื่อระบายน้ําออกนอกถ้ำ แต่ปริมาณก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่เกิดจากการเผาผลาญเชื้อเพลิง ทําให้เกิดอากาศเป็นพิษ และปริมาณออกซิเจนลดลงอย่างรวดเร็ว นายสัญชัย 1 ในคณะขุดทองตัดสินใจเรียกให้คณะขุดทองทั้งหมดกลับขึ้นไปที่ปากถ้ำ แต่ไม่มีใครสนใจ นายสัญชัยจึงหนีกลับออกมาเพียงลําพัง ส่วนคนอื่นกลับหายเงียบไป

กระทั่งเวลา 23.00 น. นายโตมี พรานนําทางก็คลานออกมาถึงปากถ้ำในสภาพหมดเรี่ยวแรง ใบหน้าขาวซีด นายสัญชัยช่วยปฐมพยาบาล จนพอให้การได้ว่า คณะขุดทองอีก 5 คน เสียชีวิตอยู่ภายในถ้ำ เนื่องจากขาดอากาศหายใจ จากนั้นก็เป็นลมหมดสติ จึงนําตัวนายโตมีส่งโรงพยาบาลสังขละบุรี แต่มาเสียชีวิตระหว่างนําส่งโรงพยาบาล

ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ ระบุว่า นายปลอดประสพ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ จะต้องรับผิดชอบ เพราะปล่อยให้ชาวบ้านเข้าไปค้นหาสมบัติโดยไม่ได้รับอนุญาต จนเกิดโศกนาฏกรรมเสียชีวิตหมู่ 6 ศพ

กรมป่าไม้ ยอมให้ เชาวรินธร์ ขุดหาสมบัติ 30 วัน
 11 มกราคม 2544 ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ และคณะ ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้ให้ขุดหาสมบัติ โดยทําพิธีบวงสรวงเซ่นไหว้เจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขา และวิญญาณทหารญี่ปุ่น บริเวณหน้าถ้ำเขาลิเจีย

นายชัยยันต์ ศรีจันทร์ พราหมณ์ที่ทําพิธี กล่าวว่า จากการนั่งทางในเห็นมีทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตอยู่ในถ้ำมากมาย และเห็นมีทองรางๆ


ร.ต.ท.เชาวรินธร์ กล่าวว่า การขุดหาสมบัติครั้งนี้ได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้แล้ว ใช้ทุนตัวเองประมาณ 5-6 ล้านบาท กําหนดให้เสร็จภายใน 30 วัน แต่ถ้าไม่พบทรัพย์สิน จะเลิกค้นหาเด็ดขาด

16 กุมภาพันธ์ 2544 กลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ เข้ายื่นหนังสือต่อประธานวุฒิสภา ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ เพราะครบกำหนด 30 วันที่กรมป่าไม้กำหนดแล้ว ร.ต.ท.เชาวรินธร์ จะต้องขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากเขตอุทยานแห่งชาติ แต่ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ กลับไม่ได้ทําตามข้อตกลง และยังคงฝ่าฝืนคําสั่ง

เชาวรินธร์ ตั้งโต๊ะแถลง เจอขุมทรัพย์มากมาย ทองคำโตเท่าบาตรพระ

12 เมษายน 2544 ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ว.ราชบุรี แถลงข่าวว่า ตนและคณะสํารวจได้ขุดพบสมบัติในถ้ำลิเจียจํานวนมหาศาล มีทั้งกระดูก ของใช้โบราณ เพชร และทอง ซึ่งในเบื้องต้นพบเป็นทอง 2,500 เมตริกตัน แต่เชื่อว่ามีมากกว่านี้ ทองทั้งหมดถูกบรรจุไว้ในหีบ และขุมทรัพย์ที่พบทั้งหมดคาดว่าเป็นของเก่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2477 เป็นสมบัติก่อนสมัย สงครามโลกครั้งที่ 2

ระหว่างแถลงข่าว ผู้สื่อข่าวขอให้นําสมบัติบางส่วนมาโชว์เป็นตัวอย่าง แต่ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ปฏิเสธ อ้างว่าได้ส่งไปพิสูจน์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งแล้ว และในวันที่ 17 เม.ย. จะพาคณะผู้สื่อข่าวเข้าพิสูจน์ขุมทรัพย์ในถ้ำลิเจีย ให้เห็นกับตา


ชาวบ้านที่อ้างตัวเป็นคณะผู้ร่วมค้นหา กล่าวว่า การขุดพบครั้งนี้ประกอบด้วยเครื่องบินเก่า ทองคํา ขนาดโตเท่าบาตรพระ 500 ลูก ธนบัตรดอลลาร์ และเงินจ๊าตของพม่า 2 โบกี้รถไฟ รวมทั้งไมโครฟิล์มที่สามารถระบุแหล่งซ่อนสมบัติใน จ.กาญจนบุรี อีกกว่า 10 แห่ง ซึ่งมีทั้งเพชรและทองหลายกระสอบ

นายกฯ ทักษิณ เดินทางมาดูด้วยตาตัวเอง

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางไปถ้ำลิเจียเพื่อเยี่ยมร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ ได้แสดงความชื่นชมกับความตั้งใจจริงของ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ที่ทํางานเพื่อชาติจนสําเร็จ

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่าสิ่งที่ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ นํามาให้ดูเป็นหลักฐานในการขุดมีมูลค่ามหาศาล แต่ยังไม่ขอเปิดเผย

14 เมษายน 2544 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ร.ต.ท.เชาวรินธร์ เล่าให้ฟังว่า ขณะนี้พบหีบ 1 ใบที่มีความสมบูรณ์ในตัวเองหลายอย่าง สิ่งที่อยู่ในหีบมีเหรียญและอะไรอีกหลายอย่าง แต่ได้ดูเพียงภาพถ่าย และถ้าเป็นของจริงจะมีค่ามากมายมหาศาล มีเหรียญ ทองที่มีต้นกําเนิดจากสหรัฐฯส่วนหนึ่ง ซึ่ง ร.ต.ท.เชาวรินธร์บอกว่าได้เก็บไว้ในที่ปลอดภัย

เชาวรินธร์ ออกจากถ้ำมาเล่า พบสมบัติมหาศาล!

15 เมษายน 2544 ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ เปิดเผยว่า สมบัติที่พบมี 13 รายการ อาทิ พันธบัตรรัฐบาล กระทรวงการคลัง สหรัฐรับประกัน ที่มีมูลค่าใบละ 100 ล้านดอลลาร์ จํานวน 250 ใบ, เหรียญทอง, ทองคำ 2,500 ตัน และอีกมากมาย

16 เมษายน 2544 เว็บไซต์กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ออกมาเตือนว่าพันธบัตรของสหรัฐฯ มักถูกผู้แสวงหาผลประโยชน์ทําปลอมขึ้น แล้วนําไปหลอกขายยังประเทศต่างๆ จํานวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศยากจน หรือประเทศกลุ่มที่ 3

มีคนหน้าแตก! สรุปแล้วธนบัตรปลอม

17 เมษายน 2544 ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ ส.ว.ราชบุรี แถลงข่าว พร้อมสําเนาสีของพันธบัตร จํานวน 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมด้วยรายการทรัพย์สินประกอบทั้ง 13 รายการ และได้ออกมากล่าวเรื่องธนบัตรปลอมว่า ตนเองไม่ได้บอกว่าเป็นของจริง แต่ยืนยันได้อย่างเดียวว่าไม่ได้เป็นคนทําขึ้น และไม่เชื่อว่ามันปลอม แต่ก็ไม่ได้เชื่อว่าจริง ตนขออนุญาตที่จะรับผิดชอบเรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่เพียงผู้เดียว

18 เมษายน 2544 เจ้าหน้าที่ตํารวจกองปราบปรามเป็นผู้ดําเนินการออกหมายจับคดีธนบัตรปลอม พบว่ามีนักธุรกิจชาวต่างชาติ 1 คน นําพันธบัตรปลอมทั้งหมดเข้ามาในประเทศไทย แต่สําหรับ ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ เชื่อว่าไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการต้มตุ๋นดังกล่าวโดยตรง แต่อาจเป็นผู้ถูกหลอกมาอีกต่อหนึ่ง

รมช.คลัง แถลงข่าวว่า กระทรวงการคลังไม่มีความจําเป็นต้องส่งเรื่องพันธบัตรที่พบในถ้ำลิเจียไปหารือกับทางการสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่เคยออกพันธบัตรในลักษณะนี้มาก่อน และกระทรวงการคลังของไทยก็รู้ว่าเป็นของปลอม จึงไม่จําเป็นต้องแสดงอะไรออกมาให้ชาวโลกเขารู้ว่าเราไม่ฉลาด

พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ รอง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า หาก ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ ถูกหลอกก็จะตกเป็นผู้เสียหาย แต่ถ้าซื้อมาแล้วบอกว่าขุดได้เป็นเหตุให้คนเชื่อว่ามีพันธบัตรจริง ก็ต้องว่าไปตามกระบวนการทางกฎหมาย

27 เมษายน 2544 นายปลอดประสพ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ ให้สัมภาษณ์กรณีผลการสํารวจทางดาวเทียมที่บริเวณถ้ำลิเจีย ไม่พบหีบสมบัติภายในถ้ำ

1 พฤษภาคม 2544 ร.ต.ท.เชาวรินธร์ ลัทธศักดิ์ศิริ เข้าพบ นายปลอดประสพ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ ขออนุญาตขุดสมบัติที่ถ้ำลิเจีย แต่นายปลอดประสพไม่อนุญาต.