“แม้ว่าผมจะเลือกไม่ให้ตัวเองพิการไม่ได้ แต่ผมก็เลือกทางเดินชีวิตของผมได้..”
พี่สุทัศน์ วงศ์ปั่น ชายขายกาแฟ ผู้ผ่านโลกมาเกือบ 50 ปี แม้ร่างกายจะไม่ปกติเหมือนคนทั่วไป แต่เขาก็ไม่เคยคิดน้อยใจในโชคชะตา...
เรื่องราวครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อ ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ เดินทางไปทำข่าวย่านพระราม 9 ทันทีที่รถจอดติดไฟแดงบริเวณแยกผังเมืองนานพอที่จะทำให้ทีมข่าวฯ ได้พินิจดูสิ่งรอบๆ ตัว แต่แล้วสายตาเกิดไปสะดุดที่ชายขาพิการแต่ใจสู้กำลังไถตัวบนสเก็ตบอร์ดเก่าๆ เล็กๆ แทบจะไม่พอนั่ง อยู่บนเกาะกลางถนน ค่อยๆ ไถตัวไปตรงประตูคนขับรถที่จอดติดไฟแดงอยู่ ชูซองกาแฟชงสำเร็จ พร้อมฉีกยิ้มกว้างให้คนขับ แต่ก็ไม่มีการตอบรับใดๆ เกิดขึ้น ... เขาทำแบบนี้กับรถทุกคันที่จอดติดไฟแดง บางคันก็ลดกระจกลงช่วยซื้อกาแฟจากเขา หรืออย่างบางคันก็ให้เงินแต่ไม่เอากาแฟก็มี
...
ทีมข่าวฯ ได้มีโอกาสเปิดใจพูดคุยสัมผัสเรื่องราวชีวิตของคนตัวเล็กๆ ที่คนบนสังคมอันกว้างใหญ่ไม่ค่อยได้มองเห็น .. ชีวิตของผู้ชายที่ชื่อสุทัศน์ วงศ์ปั่น นั้นไม่ธรรมดา อันที่จริงเกิดมาเขาไม่ได้มีสภาพอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน แต่โชคไม่ดีเท่าไหร่ พ่อของเขาโมโหจากการเสียพนัน ประกอบกับ ด.ช.ตัวน้อยๆ ที่กำลังหัดเดินเกิดหกล้มร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่ ด้วยความโมโหพ่อจึงจับเอาหัวลูกชายไปโขกกับกระดานที่อยู่ใกล้มือ ความรุนแรงของแรงกระแทกส่งผลกระทบกระเทือนไปยังสมอง ต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนาน 4-5 เดือน และเขาก็ไม่สามารถเดินได้นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยโทษบุพการี เข้าใจว่าบุญวาสนาให้มาแบบนี้
พี่สุทัศน์ เล่าว่า ก่อนจะมาขายกาแฟชงสำเร็จที่แยกผังเมืองนั้น เขาต้องเจอเรื่องราวมากมายทั้งโดนกลั่นแกล้ง กดดัน ไม่ให้มาขายของ เพราะไปแย่งพื้นที่จับจองของคนอื่น
“ส่วนใหญ่เขาจะไม่รังแกต่อหน้า แต่จะใช้วิธีให้เราออกไปไหนไม่ได้ โดยใช้แม่กุญแจล็อกจากด้านนอก เพื่อไม่ให้ผมออกจากห้องไปขายของ ผมทนหิวอยู่ 1 วัน ไปไหนไม่ได้ เรียกใครก็ไม่ได้ โทรศัพท์ไม่มี จนวันต่อมาเขาก็มาเอากุญแจออกไป พอผมย้ายไปทำมาหากินที่อื่นก็เจออีกเหมือนกัน เอารถมอเตอร์ไซค์จอดบังทางเข้าออก ผมก็ไปไหนไม่ได้ ขยับรถไม่ได้ สุดท้ายไม่อยากมีปัญหาต้องย้ายหนีไปอยู่ชัยภูมิพักหนึ่ง จนได้มาพักกับน้องที่กรุงเทพฯ และมาขายกาแฟที่แยกผังเมือง”
“ให้เงินผมแล้ว เอากาแฟไปด้วย..ผมไม่อยากเป็นขอทาน”
พี่สุทัศน์ เล่าให้ทีมข่าวฯ ฟังว่า ทุกเช้าวันจันทร์-ศุกร์ จะขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจมาจากบ้านญาติเพื่อมาขายกาแฟชงสำเร็จรูปที่แยกผังเมือง โดยเริ่มขายประมาณ 8 โมงเช้า ทั้งหมด 60 ซอง ขายจนกว่าของจะหมด บางวันหมดเร็วบ่ายๆ ก็ได้กลับไปพักผ่อนที่บ้าน หรืออย่างบางวันกว่าจะหมดก็มืดค่ำ นอกจากนี้ ลูกค้าของพี่สุทัศน์บางคน ต่อรองให้ลดราคาเหลือซองละ 3 บาท 5 บาท พี่สุทัศน์ก็ใจดีลดให้เขาอีก ขอเพียงแต่ขายให้หมดในแต่ละวันก็เพียงพอ
...
“ผมรู้นะว่าบางคนเขาไม่ได้อยากซื้อกาแฟผมหรอก ส่วนมากคนจะให้เงินช่วยเหลือ ทำบุญมากกว่าซื้อกาแฟอีก แต่ผมอยากจะบอกว่า ให้เงินผมแล้ว ช่วยเอากาแฟผมไปด้วย บางคนให้เงินแล้วไม่เอากาแฟผมก็พยายามจะยัดเยียดให้เขาไป เพราะผมไม่อยากเป็นขอทาน”
ขี่มอ’ไซค์ ไป-กลับชัยภูมิ หลังโดนกลั่นแกล้งไม่ให้ขายของ
...
และทุกเย็นวันศุกร์หลังจากขายของหมดพี่สุทัศน์จะขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านที่ จ.ชัยภูมิ และออกจากชัยภูมิเย็นวันอาทิตย์มาถึงกรุงเทพฯ เช้าวันจันทร์พอดี ที่เป็นแบบนี้ทุกสัปดาห์ เพราะว่า เขาไม่อยากอยู่กรุงเทพฯ ประสบการณ์เลวร้ายที่เขาเคยเจอทั้งการแก่งแย่ง ข่มขู่ กดดัน ทำให้เขาเลือกที่จะกลับชัยภูมิบ้านเกิดเสียดีกว่า
"ทำไมไม่ทำมาหากินที่บ้านเกิดล่ะ?" ทีมข่าวฯ ตั้งคำถามกับคนที่อยู่ตรงหน้า พี่สุทัศน์ นิ่งคิดก่อนตอบว่า “อยู่ที่ชัยภูมิผมก็ไม่รู้จะทำอาชีพอะไร ไม่ได้เรียนหนังสือมาก็ต้องขายของไปเรื่อยๆ แต่ถ้าไปขายกาแฟแถวบ้านก็คงขายไม่ได้ มีแต่ชาวไร่ชาวนาทั้งนั้น ก็เลยคิดว่ามากรุงเทพฯ ดีกว่า”
...
ทำทุกอย่าง เพราะ ‘ความรัก’ และทุกอย่างพัง เพราะ ‘ความรัก’
พี่สุทัศน์ เล่าว่า ตอนนี้โสดสนิท ไม่มีเมีย ไม่มีลูก จุดมุ่งหมายในชีวิต คือ การหาใครสักคนมาดูแลคนไม่ปกติแบบเขา ฝันที่จะมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ฉะนั้น ในทุกๆ วันเขาจะออกจากบ้านไปทำมาหากินสร้างฐานะเก็บเงินเพื่ออนาคต ซื้อรถให้เมียขับเวลาไปไหนมาไหนด้วยกัน คอยดูแลซึ่งกันและกัน แค่นี้ก็เพียงพอแล้วในชีวิตของชายคนหนึ่ง
แต่แล้วก็นึกน้อยใจตัวเองร่างกายพิการ เมียทิ้งไปอยู่กับชายคนอื่นไม่เจ็บใจเท่ากับการหอบเอาเงิน รถ ทรัพย์สินที่เขาหามาจากน้ำพักน้ำแรงตีจากเขาไป พี่สุทัศน์ เสียใจพักใหญ่ ก็เปิดโอกาสให้ความรักอีกครั้ง โดยครั้งนี้เป็นสาวรุ่นน้อง เขาเองก็ทุ่มเทเหมือนอย่างทุกครั้ง เพียงเพื่อที่ต้องการมีคนดูแลในบั้นปลายชีวิตอย่างที่ตั้งใจไว้ เขาหาทรัพย์สินทุกอย่างเพียบพร้อม แต่เรื่องเลวร้ายก็เกิดขึ้นอีก เมื่อคนรักขอเลิกเพราะมีคนใหม่ แน่นอนล่ะว่า หนุ่มกว่า ดูดีกว่าเขาทุกอย่าง สุดท้ายก็ต้องปล่อยเธอไป ชีวิตเขาล้มเพราะความรักซ้ำๆ ถึง 3 ครั้ง
“เมียคนนี้เขาไม่ได้เอาทรัพย์สินอะไรไป ส่วนรถกระบะที่กำลังผ่อนอยู่ก็ไม่มีคนขับแล้ว เพราะผมตั้งใจซื้อให้เขาขับ ซึ่งผมเองก็ขับไม่ได้ต้องเอาไปดัดแปลงก่อน จะขายก็ไม่อยากขายเพราะเอาไว้ให้แม่ เป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง ทุกวันนี้ผมเลยมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะชดใช้หนี้สินกว่า 3 แสนบาท ทั้งรถกระบะ และรถมอเตอร์ไซค์ที่ซื้อมาขี่ไปทำมาหากินทุกวัน”
จากคนที่เคยทำทุกอย่างเพื่อความรัก แปรเปลี่ยนเป็นทำทุกอย่างเพื่อชดใช้หนี้!
ชีวิตคนเราอยู่เพื่ออะไร? บางคนก็บอกว่า อยู่เพื่อความหวัง อยู่เพื่อการรอคอย หรืออยู่เพื่อคนที่รัก แต่ชายที่ชื่อสุทัศน์ เขาอยู่เพื่อใช้หนี้ .. หนี้สิน 3 แสนบาทที่ติดตัวนั้น เขาไม่เลือกที่จะหนีมัน เพราะเขาบอกว่า “ทำอะไรเราต้องรับผิดชอบ เราจะหนีไม่ได้ ถ้าหนีคนอื่นก็จะเดือดร้อนไปด้วย”
“หลังจากที่ผมสิ้นหวังในเรื่องความรัก ก็กลายเป็นกลัวความรักไปเลย เพราะหากผมรักใครขึ้นมาอีก ผมก็จะทุ่มเทเพื่อเขาอีก จากนี้ไปผมตั้งใจไว้ว่า จะทำงานชดใช้หนี้สินให้หมด ทำจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายของตัวเองจนกว่าชีวิตจะหาไม่ หากใช้หนี้หมดผมก็คงหยุดพักกลับไปอยู่บ้านที่ชัยภูมิ ใช้เงินจากเบี้ยคนพิการเดือนละ 800 บาทก็พออยู่พอกิน และคิดว่าว่าจะใช้โซล่าเซลล์แทน เพื่อจะไม่ต้องจ่ายค่าไฟ นี่คือ เป้าหมายในชีวิตที่ผมคิดไว้” พี่สุทัศน์ เล่าถึงอนาคตอย่างมีความหวัง
“เหนื่อยมั้ยพี่ อยู่ตัวคนเดียวกับหนี้สินก้อนใหญ่?” ทีมข่าวฯถามชายที่อยู่ตรงหน้า พี่สุทัศน์ หันมายิ้มแห้งๆ ก่อนบอกว่า “ทุกวันนี้เหนื่อยบ้าง ท้อบ้าง แต่ก็ไม่ถอยนะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันไม่เกี่ยวกับโชคชะตาหรอก เป็นการกระทำของตัวเราเองทั้งนั้น คนเราเลือกทางเดินของตัวเองได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกทางไหน แต่ชีวิตผม ผมสร้างหนี้มันขึ้นมา แต่ผมจะหนีมันไปไม่ได้หรอก มันจะเป็นมลทินติดตัวผมไปตลอดชีวิตนะ เราสู้ให้สุดฤทธิ์ไปเลยดีกว่า สู้จนกว่าจะไม่มีแรงสู้แหละ”
ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน
- สืบเสาะข่าว รับเรื่องราวร้องทุกข์ สามารถส่งเรื่องราวหรือประเด็นปัญหาของท่านมาได้ที่
reporter.thairath@gmail.com หรือช่องทาง Facebook : ทีมข่าวเฉพาะกิจ