ณ บ้าน อันงดงามสะอาดตา โอ่โถง เงียบสงบ เป็นส่วนตัว ประดับประดาด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ทั่วบริเวณ ให้ความร่มรื่น เพียงได้แลเห็น ก็นึกรำพันได้อย่างไม่ยากเย็นเลยว่า เหมาะสมแล้วที่จะเป็นที่พักกายพักใจของ เอกอัครศิลปิน เจ้าของน้ำเสียงที่ชนะไปทั้งสิบทิศ และอดีตนางเอกสาว ที่สวยที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทย เท่าที่เคยมีมา
ในวันนี้ นายฮกหลง แห่งทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้รับความเมตตาจากทั้งสองท่าน ให้สามารถเข้าไปสัมภาษณ์ถึงภายในบ้านหลังนี้ ทั้งๆ ที่ในเวลาปกติท่านทั้งสอง ยอมรับว่า ไม่ค่อยได้เปิดรับแขกมากเท่าใดนัก...
ใช่แล้วครับ แฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ บุคคลทั้งสองท่านที่ นายฮกหลง เชื้อเชิญมาพูดคุยในวันนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก คุณชรินทร์ นันทนาคร ศิลปินแห่งชาติ เจ้าของบทเพลงฮิตตลอดกาล ผู้ชนะสิบทิศ เรือนแพ และหยาดเพชร ส่วนอีกท่าน คือภรรยาที่กล่าวได้ว่า เป็นตำนานแห่งวงการภาพยนตร์ไทย อมตะนางเอกสาวที่สวยที่สุดตลอดกาล คุณเพชรา เชาวราษฎร์
...
โดย นายฮกหลง เชื้อเชิญทั้งสองท่านมาพูดคุยในวันนี้ เป็นเพราะในช่วงเทศกาลที่ยังอบอวลไปด้วยความรักนี้ นายฮกหลง อยากให้เด็กรุ่นใหม่ๆ ของเรา ได้ตระหนักถึงความรัก ที่มิได้เพียงแค่รักแต่กาย แต่รักด้วยใจ และพร้อมที่จะหยัดยืนเป็นกำลังใจให้แก่กันและกัน ในวันที่คู่ชีวิตของเราต้องประสบกับความทุกข์อย่างแสนสาหัส จนแทบนึกอยากจะหายไปจากโลกนี้
วินาทีที่ คุณชรินทร์ ในวัย 83 ปี ที่ยังเปี่ยมล้นไปด้วยความกระชุ่มกระชวย และรุ่มรวยอารมณ์ขัน เดินประคองกอดแขน คุณเพชรา ในวัย 70 ปี ที่ยังคงไว้ด้วยความงามสง่า มาพบกับนายฮกหลง ที่ห้องรับแขก ภายในบ้านพักอันร่มรื่นนี้ ยอมรับตามตรงว่า นายฮกหลง และทีมงาน มิอาจหลบซ่อนความตื่นเต้นที่อยู่ในใจได้เลย...
เอาล่ะครับ! แฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ทุกท่าน หากนายฮกหลง ขืนอารัมภบทมากไปกว่านี้ สงสัยได้ถูกแฟนๆ เขวี้ยงของใส่ด้วยความหมั่นไส้ เป็นแน่! เอาล่ะ นับจากบรรทัดนี้เป็นต้นไป ขอเชิญทุกท่านได้อ่านทุกคำหวานแห่งความจริงใจ ที่มาจากคู่รักอมตะคู่หนึ่งของประเทศไทยกันได้แล้วครับ...
PART 1 แรกพบประสบพักตร์ บอกได้เลยคนนี้แหละใช่!
คุณอาชรินทร์ หัวเราะเอิ๊กอ๊าก พร้อมพูดพลางหัวเราะพลางกับ นายฮกหลง ทันที ที่คุณอาเพชรา เปิดทางด้วยประโยคเปื้อนยิ้มที่ว่า “เธอควรจะเป็นคนพูดก่อนนะ” “ได้เห็นเค้าเป็นครั้งแรกในชีวิต คือ รูปที่อยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งตอนนั้น คุณอี๊ด (ชื่อเล่นของคุณเพชรา) ได้เข้าประกวดเทพธิดาฮาวาย ตอนนั้นบอกเลย ผู้หญิงคนนี้ถูกใจมากกกก (ลากเสียง) พูดตรงๆ เลยก็ได้ว่า ผมหลงรูปเลยทีเดียวแหละ
ซึ่งทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ ผู้เป็นภรรยา ถึงกับหยอกเอินผู้เป็นสามี กลับไปอย่างน่ารักว่า “หือ…ขนาดนั้นเชียว?” “จริงสิ น้องรู้ไหม สมัยนั้น ผู้ชายคนไหนเดินสวนผ่านคุณอี๊ด เป็นต้องวิ่งย้อนกลับมา เพื่อดูหน้ากันทุกคน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เชื่อไหม คุณอี๊ด ซึ่งตอนนั้นยังไม่เข้าวงการ ไปเดินห้างแห่งหนึ่ง ถึงกับมีคนไปปิดทางเข้า-ออก เพื่อมุงดูเธอ เพียงเพราะอยากรู้ว่าเธอเป็นใคร”
ซึ่งแตกต่างจาก คุณอาเพชรา ที่บอกกับนายฮกหลง หลังได้พบกับคู่ชีวิตคนนี้เป็นครั้งแรก ที่งานศพของคุณแม่ คุณศรินทิพย์ ศิริวรรณ ภรรยาของครูชาลี อินทรวิจิตร ที่วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร โดยตอนนั้น กำลังเป็นนางเอกดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการ ด้วยน้ำเสียงแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ว่า โอวว…แย่มากกกกเลยค่ะ ผอมมมมมมม มากกกกกก (ลากเสียง) ตาลึก แถมผมก็ยาวปรกหน้าผาก ก่อนจะหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดี ตอนนั้น ยอมรับตรงๆ เลยนะ ว่าไม่ประทับใจเอาเสียเลย แถมยังรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าสงสารเอามากๆ เสียด้วย (จำประโยคนี้กันไว้ให้ดีนะครับ แฟนๆ ไทยรัฐออนไลน์ เพราะความสงสารนี่แหละ ที่ทำให้พระเอกของเราพิชิตใจผู้หญิงสวยท่านนี้ได้สำเร็จในที่สุด)
...
“ครั้งแรกที่ได้พบกัน แทบจะไม่ได้พูดอะไรกันเลย เพียงแค่มองกันแวบหนึ่งแบบห่างๆ และได้ทักทายกันสั้นๆ เพราะมีคนมาแนะนำให้รู้จักเท่านั้น เพราะวงการบันเทิงสมัยนั้น ดาราอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ใกล้ชิด จะไปสนิทสนมอะไรกับใครเป็นพิเศษไม่ได้เด็ดขาด” คุณอาเพชรา ถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
PART 2 เริ่มต้นสานสัมพันธ์ ทำความรู้จัก
คุณอาชรินทร์ กล่าวกับนายฮกหลง ว่า เป็นเพราะเราสองคนได้ร่วมงานกันในภาพยนตร์ของ คุณดอกดิน กัญญามาลย์ (อดีตผู้กำกับผู้โด่งดัง เจ้าของฉายาล้านแล้วจ้า) โดยตอนนั้น คุณอี๊ด ถือว่ากำลังโด่งดังมาก รัศมีซุปเปอร์สตาร์กำลังเปล่งปลั่ง ส่วนตัวผมรับบทเป็นพวกพระรอง ในภาพยนตร์และร้องเพลงประกอบบ้าง ทำให้มีโอกาสพบเจอกันบ้างในกองถ่าย แต่ก็ทำได้แค่มองกันไป มองกันมา แทบจะไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันเลย แต่ผมไม่ได้เร่งร้อนอะไร เพราะชีวิตผมตอนนั้นถือว่าผ่านอะไรๆ มาเยอะ หากจะมีชีวิตคู่อีกครั้ง ก็ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ จึงใช้วิธีค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ก็ใช้เวลาไปเป็นปีๆ เพื่อดูใจกัน แต่แน่นอน ช่วงนั้น คุณอี๊ดเค้าก็ยิ่งดังขึ้นๆ เป็นดาวค้างฟ้าของเมืองไทย อุปสรรคอะไรๆ มันก็ต้องยากขึ้นๆ เป็นธรรมดา ถึงขนาดที่ว่า มองกันยังไม่ได้ หากผมไปพูดคุยกับคุณอี๊ด ก็แทบจะถูกไล่ให้รีบไปห่างๆ ทันที จะไปไหนด้วยกันนี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะคุณอี๊ดถ่ายหนังทั้งกลางวันและกลางคืน แทบจะไม่มีวันหยุด
...
PART 3 ปลูกต้นรักสำเร็จ ความรักชนะทุกสิ่ง
ศิลปินแห่งชาติ เล่าให้ฟังต่อไปว่า แม้เราแทบจะไม่ค่อยได้เจอกัน แต่รู้ไหม? ด้วยเหตุผลนี้แหละ ก็ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เรารักกันมากขึ้น เพราะการไม่ได้เจอกัน ก็ยิ่งจะทำให้อีกฝ่าย เป็นห่วงอีกฝ่ายมากขึ้นๆ คุณอี๊ด ถ่ายหนังดึกๆ ผมก็ใช้วิธีซื้อข้าวซื้อของไปฝากเค้า เพราะกลัวว่าเค้าจะกินไม่อิ่มนอนไม่หลับ ตอนนั้นรู้กันในใจแค่สองคนว่าเรารักกัน แต่การแสดงออกจะทำไปมากกว่านั้นไม่ได้ ไปเจอกันตามกองถ่าย ก็ต้องทำเป็นว่า เหมือนคนเพิ่งรู้จักกัน เจอหน้ากันก็แค่สวัสดีกัน แล้วก็เดินไปนั่งคนละมุมห่างๆ กัน สมัยนั้นทำได้แค่นั้นจริงๆ ความรักของเรา ต้องเป็นไปแบบหลบๆ ซ่อนๆ จะให้ใครรู้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะเค้าโด่งดังมาก ในเดือนๆ หนึ่ง คุณอี๊ด จะมีเวลาว่างแค่ 2 วัน สำหรับเราเท่านั้น
“สมัยนั้น คุณมิตรชัย บัญชา และ คุณเพชรา เชาวราษฎร์ ถือเป็นคู่ขวัญแห่งยุค ดังขนาดว่า โรงหนังทั่วประเทศ เพียงแค่เอาป้ายไฟขึ้นชื่อ ไว้ว่า มิตร-เพชรา หน้าโรง เท่านั้นก็พอ หนังจะชื่ออะไรก็ไม่สน หากสองคนนี้เล่นคู่กัน คนก็พร้อมจะเข้าไปดูทันที”
...
ทำไมถึงต้องรัก ผู้ชายชื่อ ชรินทร์ นันทนาคร
นางเอกเจ้าของฉายานัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง ยิ้มอย่างขวยเขิน ก่อนตอบนายฮกหลง ในคำถามนี้ว่า “ก็อย่างที่บอก ความรู้สึกมันบอกว่า เค้าเป็นคนน่าสงสาร แค่เห็นครั้งแรกก็รู้สึกกระตุกประสาทแล้วค่ะ” จากนั้นก็หัวเราะกับนายฮกหลงอย่างอารมณ์ดี “ตอนนั้น เค้าเป็นคนน่าสงสาร น่าเห็นใจ ถูกคนติฉินนินทาจากปัญหาเรื่องครอบครัวเก่า ผิดแผกไปจากผู้ชายหลายๆ คนที่อยู่ล้อมหน้าล้อมหลังเรา ซึ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุข เวลาเค้าจะเยื้องกรายไปที่ไหน ก็มักจะมีคนติฉินนินทาเนืองๆ บางคนต่อหน้าเค้าก็พูดดี พอคล้อยหลังเค้า ก็มาว่าเค้าให้เราฟังตลอดเวลา ทำให้ตอนนั้นรู้สึกเห็นใจเค้ามาก และรู้สึกว่าสิ่งที่เค้าประสบอยู่ มันไม่ยุติธรรม”
อีกอย่าง ตอนก่อนเข้าวงการ ความรู้สึกที่ว่าตัวเองเป็นแค่ผู้หญิงตัวคนเดียว มาจากบ้านนอก จึงได้ตั้งปณิธานไว้กับตัวเองแต่แรกแล้วว่า "จะไม่รักคนรูปหล่อ จะไม่แย่งของรักของใคร"
ทำไมถึงหยุดที่ผู้หญิงชื่อ เพชรา เชาวราษฎร์
ยังไม่ทันฟังคำถามจบ คุณอาอี๊ด ก็เอื้อนเอ่ยถามสามี ในเชิงสัพยอกหยอกล้อว่า “ไม่รู้หยุดหรือเปล่าเนี่ย เลยไปไม่รู้กี่กิโลเมตรแล้ว” พร้อมกับยื่นมือขวาออกไปหาสามีที่นั่งอยู่ข้างกัน เหมือนขอกำลังใจ ซึ่งก่อนที่จะตอบ ศิลปินแห่งชาติพระเอกของเราผู้นี้ ก็รับมือของภรรยามาเกาะกุมไว้ พร้อมกล่าวอย่างหนักแน่นอีกครั้งว่า ผมเจอเค้าครั้งแรกในรูป แล้วก็บอกกับตัวเองว่าผู้หญิงคนนี้แหละใช่! อย่างที่บอกไว้ตอนต้น แต่ตอนนั้นก็ไม่คิดนะว่าจะได้เจอ แต่พอเจอแล้ว มันก็ใช่! จึงไม่คิดจะเปลี่ยนใจแน่นอน เพราะฉะนั้น ขอฝากชีวิตไว้กับเธอคนเดียวเลย หลังจากฟังคำตอบนี้ ก็สามารถเรียกรอยยิ้มพิมพ์ใจให้กับฝ่ายภรรยาได้ทันที
PART 4 ที่สุดสมหวัง ได้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว
เจ้าของเพลงหยาดเพชร เล่าต่อว่า เราคบกันเกือบ 10 ปี กว่าที่จะสมหวังได้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว แต่ก็ไม่ได้เปิดตัวต่อสาธารณชน ให้ได้รับทราบ แต่สื่อมวลชนที่มีความใกล้ชิดกันหลายคน ก็ทราบเรื่องนี้ แต่ทุกท่านที่ทราบ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนๆ กัน ก็ได้ให้ความเคารพรักและเอ็นดูซึ่งกันและกัน นอกจากนี้ ยังมีบางท่านออกมาปกป้องเราสองคนเสียด้วยซ้ำ เวลามีข่าวในแง่ไม่ดีออกมา
จดทะเบียนสมรส อยู่กินฉันสามี-ภรรยา คนร่วมเฮลั่น ที่ทำการเขตพระโขนง
จำได้ตอนนั้น เราสองคนแอบไปจดทะเบียนกันที่ ที่ทำการเขตพระโขนง วันที่ไป โหยยยย (ลากเสียง) ดังไปทั้งประเทศ คนแห่มาขอถ่ายรูป อวยชัยให้พรกันวุ่นวายไปหมด นายอำเภอ พอรู้ว่าเรามาจดทะเบียน ยังเดินลงมาร่วมตะโกนร้อง ไชโยๆ เลย ว่าแล้ว เจ้าของเพลงผู้ชนะสิบทิศ ก็หัวเราะลั่นด้วยความชอบอกชอบใจ
PART 5 ฟันฝ่าฝันร้าย เกี่ยวแขนหยัดกายเป็นกำลังใจของกันและกัน “เธอจำไว้นะ ฉันไม่มีวันทิ้งเธอ”
ความสุขที่ทั้งคู่ได้อยู่ร่วมกันในฐานะคนรัก กำลังเป็นไปอย่างราบรื่น แต่แล้วฝันร้ายก็เริ่มย่างสามขุมเข้ามา เมื่อคุณอาเพชรา ต้องประสบปัญหาที่ดวงตาจนถึงขั้นสูญเสียดวงตา...
คุณอาเพชรา ถ่ายทอดประสบการณ์อันยากลำบาก ณ เวลานั้น ให้นายฮกหลงฟัง ด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า ตอนนั้น บอกตามตรงเลยว่า ร้องไห้ทุกวัน ร้องเป็นชั่วโมงๆ เป็นทุกข์มาก คิดแต่ว่า หากเราตาบอดเราจะอยู่อย่างไร ใครเค้าจะยอมรับเราได้มากน้อยแค่ไหน แถมร่างกายตอนนั้นก็ไม่สู้ดีนัก บางครั้งถึงขั้นคิดว่าตัวเองกำลังจะตายเสียด้วยซ้ำไป เพราะหายใจก็ไม่ค่อยจะออก ขนาดกลืนน้ำก็ยังลำบากเลย
"เธอจำไว้อย่างเดียวในชีวิตนะ ฉันจะไม่ทิ้งเธอ"
เมื่อคุณอาอี๊ด เล่ามาถึงประโยคนี้ พระเอกของเรา ก็พูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก จนดึงนายฮกหลง ให้หันหน้าไปฟังด้วยความสนใจ ด้วยประโยคที่ว่า “ตอนนั้น เค้าเดินเซ มาล้มตรงนั้น” จากนั้นก็ยกมือ ชี้ไปที่บริเวณหน้าบ้าน ติดกับห้องรับแขกที่เรากำลังสนทนากัน ก่อนเอ่ยประโยควรรคทองสุดซาบซึ้งให้นายฮกหลง น้ำตารื้นขึ้นมาทันทีว่า
“เค้าร้องไห้ บอกกับผมว่า เธอ ตาฉันไม่เห็นแล้ว ผมก็กอดเค้าไว้ ตอนนั้นผมรู้เรื่องนี้แล้ว เพราะหมอเค้าบอกกับผม ผมจึงพูดกับเค้าอย่างหนักแน่นไปว่า เธอจำไว้อย่างเดียวในชีวิตนะ ฉันจะไม่ทิ้งเธอ” หลังประโยควรรคทองนี้ วงสนทนาของเราก็เงียบงันไปด้วยความซาบซึ้งใจชั่วครู่ใหญ่ๆ เลยทีเดียว
และเมื่อได้พูดประโยคนี้ออกไป ผมก็ได้ตั้งปณิธานเอาไว้ในใจเลยว่า นับจากนี้เป็นต้นไป ผมจะต้องประพฤติดี ปฏิบัติดี เป็นที่เชื่อถือของเค้าให้ได้ ต่อไปนี้ เราจะไปด้วยกัน ตาไม่เห็นไม่เป็นไร จะเป็นกำลังใจให้ ผมจะสู้ ขยันทำงานจัดคอนเสิร์ตดีๆ หาเงินให้ครอบครัว
นายฮกหลง จึงสอบถามความรู้สึกของ คุณอาเพชรา ไปว่า ตอนนั้น รู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินประโยคของคู่ชีวิตที่ว่า “เธอจำไว้อย่างเดียวในชีวิตนะ ฉันจะไม่ทิ้งเธอ” ซึ่งนางเอกตลอดกาลของประเทศไทย ก็ตอบ นายฮกหลง ด้วยใบหน้าที่มีความสุขยิ่งว่า ได้ยินประโยคนี้แล้ว รู้สึกมีกำลังใจที่จะสู้ชีวิตมากขึ้น เพราะเมื่อเราไม่ตาย เราก็ต้องสู้ต่อไป จากนั้นก็เริ่มให้กำลังใจกับตัวเอง ปลอบใจตัวเองอยู่เป็นปี กว่าจะปรับตัวให้อยู่อย่างเป็นปกติได้เช่นทุกวันนี้
อาชรินทร์ กล่าวต่อไปว่า ตอนนี้ เราทั้งคู่คุ้นชินกับสิ่งที่เป็นอยู่แล้ว และรู้ว่าต้องทำอย่างไร ผมก็ไม่ไปไหน อยู่บ้านเป็นเพื่อนเค้า จะออกไปร้องเพลง ทำมาหากินบ้าง นิดๆ หน่อยๆ อาศัยว่าอยู่กินกันแบบไม่สุรุ่ยสุร่าย กินอยู่ตามสมควร เราก็อยู่กันได้
หยาดเพชร เพลงแห่งสัญลักษณ์ความรักอมตะ ชรินทร์-เพชรา
คุณอาอี๊ด มีท่าทีและน้ำเสียงเอียงอายเล็กน้อย เมื่อนายฮกหลง ถามถึงครั้งแรกที่ได้ยินเพลงนี้ จากเสียงร้องของผู้เป็นสามี โดยนางเอกชื่อดังกล่าวกับ นายฮกหลง ว่า รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ยินเพลงนี้ เพราะทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า เพราะเท่าที่ทราบ เพลงนี้ซึ่งเขียนคำร้องโดย คุณชาลี อินทรวิจิตร นั้น ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อให้กับตนเอง (ในขณะที่คุณเพชรา กำลังสนทนาอยู่กับนายฮกหลงนี้ พระเอกของเราก็ร้องเพลงนี้อย่างสุดไพเราะ คลอไปกับคำพูดของผู้เป็นภรรยา อย่างซาบซึ้งใจ เล่นเอา นายฮกหลง ขอบตาร้อนผ่าวด้วยความริษยา)
อยากชวนไปเที่ยวต่างประเทศ เปลี่ยนบรรยากาศ รับอากาศยุโรป
คุณอาชรินทร์ เล่าว่า ก็มีออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านกันเป็นบางครั้ง แต่ไม่บ่อย ส่วนใหญ่เราจะชอบเชิญเพื่อนๆ ที่สนิทกันจริงๆ มาสังสรรค์กันที่บ้านมากกว่า โดยก่อนหน้านี้ มักจะเดือนละ 2 ครั้ง แต่ปัจจุบัน ลดลงเหลือ 2-3 เดือน ต่อ 1 ครั้ง