ใครเล่าจะรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของ “แพะรับบาป” ผู้ที่ต้องรับเคราะห์กรรมแทนคนอื่น ทั้งๆที่ไม่ได้กระทำผิดอันใดเลย แต่กลับโดนบีบบังคับให้จำนนกับสิ่งที่ผู้ประสงค์ร้ายกล่าวหา ชนิดที่ว่าไม่ทันได้พิสูจน์ความจริง...
กว่าจะเป็น “แพะ” คุณรู้หรือไม่ว่าพวกเขาต้องเผชิญกับเหตุการณ์ทารุณใดๆ บ้าง...เมื่อวินาทีแห่งความเป็นความตายกำลังคืบคลานเข้ามาให้เห็นอยู่เบื้องหน้า ความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสะท้านไปทั่วร่าง แต่กลับต้องทุกข์ทนต่อไป เพื่อแบมือรับบาปที่ตนไม่ได้กระทำ
“ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์” จะพาคุณไปเปิดโปงกลโกงบีบคั้น ส่องวิธีการทารุณกรรมแพะรับบาปให้จำยอมรับผิด สดๆ จากปาก “แพะ” ผู้ที่มีความรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น...หากวันใดวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า คุณตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับพวกเขา คุณจะทำเช่นไร?....
ว่ากันด้วย เรื่องเล่าแพะ เรื่องที่ 1...
โยนหลุม กิน ดื่ม อุจจาระ ช็อตไฟ ทุกข์ทนแห่งชาวเขา
หลายต่อหลายครั้งที่ประเด็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ปรากฏข่าวชาวเขา ชาวดอยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด แต่นั่นมิได้หมายความว่า คนป่าคนดอยหลายเหล่านี้จะเป็นผู้ร้ายร่วมขบวนการกันไปเสียทั้งเผ่า ทุกหมู่บ้าน หากเพราะในหมู่คนอันมากมาย ย่อมมีลักษณะของคนหลากหลายประเภทระคนกันไป ดังนั้น กระบวนการไต่สวนหาผู้กระทำผิด จึงต้องเป็นไปตามทำนองคลองธรรม มิใช่แค่รู้สึกสงสัยคนนู้น กังขาคนนี้ ก็วิ่งเข้าจับกุม ลงโทษทัณฑ์จนเกินกว่าเหตุ
จากปมปัญหาข้างต้น จนนำมาสู่เรื่องราวซ้อมทรมานชาวเขาอย่างโหดเหี้ยม นายสีละ จะแฮ ชาวเขาเผ่าลาหู่ อายุ 35 ปี เล่าถึงวินาทีที่ถูกทารุณกรรมในค่ายทหารเมื่อปี 2546 ให้ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ฟังว่า วันหนึ่งในช่วงเช้าตรู่ มีเจ้าหน้าที่รัฐหลายหลายสิบนายบุกจู่โจมเข้ามาในหมู่บ้านของผม ซึ่งผมพอจะเดาได้ว่า การมาของพวกเขาครั้งนี้ไม่ได้มาดีแน่ๆ เจ้าหน้าที่รัฐนายหนึ่งเริ่มเข้าไปเรียกคนที่พวกเขาสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติดตามบ้านต่างๆ
...
“บางคนก็โดนทั้งถีบและผลักสารพัด บ้างก็ถูกเจ้าหน้าที่รัฐยื้อยุดฉุดกระชากไปสุดแรง หรือที่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ก็โดนเจ้าหน้าที่รัฐซ้อมเกือบปางตายแล้วโยนขึ้นรถไปอย่างหน้าตาเฉย ต่อหน้าต่อตาและเสียงกรีดร้องจากคนเป็นลูกเป็นเมียของคนที่ถูกจับตัวไป” ส่วนสีละ นับว่าเป็นคนที่โชคดีกว่าพวก เพราะเจ้าหน้าที่รัฐหลายคนมองว่า เขาหัวหมอกว่าคนอื่นๆ จึงไม่มีใครทำร้ายทุบตีเขามากนัก
เมื่อรถเคลื่อนมาถึงค่าย เขาและเพื่อนชาวเขาถูกต้อนให้ไปที่ลานกว้างแห่งหนึ่ง ที่พอจะมีต้นไม้แผ่ปกคลุมให้ร่มเงาอยู่บ้าง แต่แปลกตรงที่ลานดินที่ว่านี้ มีการขุดหลุมลึกลงไปถึง 4-5 เมตร กว้างราวๆ 2 เมตร มีอยู่ 4-5 หลุมรอบบริเวณ แต่ไม่นานความแปลกนั้น ก็คลี่คลายออกมา เพราะเขาและพวก ถูกเจ้าหน้าที่รัฐบังคับให้กระโดดลงไปอยู่ในหลุม เพียงไม่กี่นาทีต่อมา คนจำนวนเกือบ 50 คน ก็ถูกบังคับให้ลงไปอยู่ในหลุมที่ถูกขุดขึ้นมาก่อนหน้านี้ ตกหลุมละประมาณ 10 กว่าคนต่อหนึ่งหลุม บางคนถูกโยนลงไปทั้งๆ ที่กำลังเจ็บปางตายจากการโดนชกไปเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
สีละ ชาวเขาเผ่าลาหู่ ต้องอดทนอยู่ในหลุมกับคนอื่นๆ อีกเกือบ 10 ชีวิตเป็นเวลา 12 วันกว่าจะได้รับการปล่อยตัว ส่วนคนที่เหลือต้องก็ทนทุกข์อยู่ในหลุมที่ว่านี้กว่า 2 เดือน โดยไม่ได้รับการปล่อยตัวไปที่ใดเลย คนสิบคนต้องอุจจาระ ปัสสาวะ กินข้าวภายในหลุมนั้นด้วยความเต็มกลืน โดยเจ้าหน้าที่รัฐจะเอาอาหารมาให้วันละ 2 มื้อ คือ มื้อเช้าและมื้อเย็น แต่ก็กินกันไม่ลง เพราะกลิ่นเน่าเหม็นจากอุจจาระปัสสาวะอบอวลไปทั่วบริเวณ ซึ่งนาทีนั้นทุกคนต่างคิดตรงกันว่า คงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แล้ว...
“ผมเคยถามเจ้าหน้าที่รัฐชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งว่า พวกผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ไม่ได้ยุ่งกับยาบ้าด้วยซ้ำ แต่ท่านมาทำกับผมเช่นนี้ทำไม เจ้าหน้าที่รัฐคนนั้นกลับตอบมาว่า นี่แผ่นดินไทย ไม่ใช่แผ่นดินของพวกแก เพราะฉะนั้น พวกแกไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งสิ้น” ชาวเขาสีละ จำคำพูดของเจ้าหน้าที่รัฐชั้นผู้ใหญ่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ดี
ขณะที่มีหลายต่อหลายคนไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดจริง มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าเขาไม่ได้เป็นคนผิด แต่กลับโดนพวกเจ้าหน้าที่รัฐทรมานร่างกาย โดนไฟฟ้าช็อตตามร่างกายจนหมดสติ ถูกอุปกรณ์ที่มีลักษณะ เป็นไม้ไผ่ขนาด 1 เมตร ปลายไม้มีช้อนและเชือกมัดติดกัน พร้อมกับติดสายไฟ โดยให้ไฟวิ่งไปที่ช้อน เพื่อนำไว้ช็อตทำร้ายร่างกาย แล้วก็ราดน้ำให้ตื่นขึ้นมา เพื่อทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่าจะรับสารภาพ ซึ่งก็มีคนที่หนีออกไปได้ แต่บางคนซ้ำร้าย ถูกจับตัวกลับมา ก็ถูกทรมานหนักแทบขาดใจ
...
แม้ว่าจะไม่มีใครเคยล้มตายจากการถูกคุมขังภายในค่ายนี้ก็ตาม แต่หลังจากที่หลายคนถูกปล่อยตัวออกมา บ้างก็กลายเป็นคนขี้กลัว บ้างก็ช้ำในจนเสียชีวิต บ้างก็หายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากที่ถูกปล่อยตัวออกมาเพียงไม่กี่วัน...
ว่ากันด้วย เรื่องเล่าแพะ เรื่องที่ 2...
ถุงดำคลุมหัว ไร้สิ้นอากาศ พร้อมกับคำทวงถามที่ว่า "ทองฉันอยู่ไหน!?"
อีกหนึ่งเคสที่ “เฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์” เดินทางไปถึงบ้านของผู้เสียหาย อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี ซึ่ง “สมศักดิ์ ชื่นจิตร” บอกว่า การทรมานร่างกาย “ช๊อปเปอร์” ฤทธิรงค์ ชื่นจิตร วัย 23 ปี ลูกชายตนเองครั้งนั้น คือ การทรมานใจของผู้เป็นพ่ออย่างมาก อาจเรียกได้ว่า “เจ็บคนเดียว แต่ล้มทั้งบ้าน”
“ช๊อปเปอร์” เริ่มต้นเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นให้ “เฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์” ฟังว่า เย็นวันที่ 28 ม.ค.2552 ขณะ “ช๊อปเปอร์” กำลังขี่รถจักรยานยนต์กลับจากดูภาพยนตร์กับเพื่อนในตัวเมือง จ.ปราจีนบุรี มีตำรวจจราจรนายหนึ่ง เรียกให้ช๊อปเปอร์ขี่รถตามไป สภ.เมืองปราจีนบุรี โดยไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาอะไร และด้วยความบริสุทธิ์ใจ เขาจึงขี่ตามไปแบบไม่ได้คิดอะไร เมื่อถึงโรงพัก ร้อยเวรบอกว่า มีผู้เสียหายมาแจ้งความคดีวิ่งราวทรัพย์ ก่อนบอกให้เขาลงไปรอด้านล่างของโรงพัก เพื่อพบผู้เสียหาย พอผู้เสียหายมา และระบุว่า “เขาคือคนกระชากสร้อย” เจ้าหน้าที่รายหนึ่งก็เดินมาตบหน้าเขา จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็พาเขาไปอีกสถานที่หนึ่ง เพื่อทำการสอบสวน ระหว่างทางเดิน ก็ถามตลอดว่า “ทองอยู่ที่ไหน เอาทองไปไว้ที่ไหน” ช๊อปเปอร์ยังคงยืนยันคำเดิมว่า “เขาไม่รู้เรื่อง” ทำให้เขาต้องถูกตบหน้าบ้าง ตบท้ายทอยบ้าง ก่อนจะเจอ “วินาทีเฉียดตาย” ต่อจากนี้
...
“พอเจ้าทุกข์มาชี้ตัว ถามว่าใช่เด็กคนนี้มั้ย พอบอกใช่ เขาก็เดินมาตบหน้าเลย จากนั้นก็มีตำรวจนอกเครื่องแบบ มีป้ายแขวนคอ พาผมไปอีกฝั่งของโรงพัก ระหว่างทางก็ถามตลอด เอาทองไปไว้ไหน ผมบอกไม่รู้เรื่อง ก็ถูกตบอีก พอจะถึงห้อง ก็ถูกใส่กุญแจมือ แล้วก็ถามเรื่องทองต่อ เราถามเขาว่า ธรรมดาการสืบสวนมันไม่ใช่แบบนี้ไม่ใช่เหรอ มันต้องมีพยาน เขาก็หาว่าผมหัวหมอ รู้มาก แล้วก็สั่งลูกน้องให้เอาถุงดำมา”
ถุงดำที่ถูกให้นำออกมา เพื่อใช้ครอบหัวช๊อปเปอร์ ระหว่างการสอบสวน ครอบในลักษณะที่ไม่ให้อากาศเข้าไปภายใน เมื่อช๊อปเปอร์เริ่มขาดอากาศหายใจ และดิ้นทุรนทุราย เจ้าหน้าที่จะเอาถุงออก พร้อมกับคำถาม “เอาทองไปไว้ที่ไหน” พอช๊อปเปอร์กัดถุงดำให้ขาด ก็ถูกนำมาครอบซ้ำเป็นชั้นที่ 2 ชั้นที่ 3 เกิดขึ้นซ้ำๆ การนำถุงดำครอบหัวไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ติดต่อกันเวลานาน 4-5 ชั่วโมง ตอนนั้นช๊อปเปอร์คิดว่า “เราคงตายแน่ๆ!” จึงทำให้คิดอุบายหาทางรอด หรือติดต่อใครก็ได้ เพราะตั้งแต่ที่เขาถูกคุมตัวมา เขายังไม่ได้ติดต่อใครเลย แม้แต่ครอบครัวของเขาเอง
...
“ผมอยู่อย่างนั้นจนทนไม่ไหวก็หาอุบาย ออกมาข้างนอก บอกว่าจะพาไปเอาทอง ผมก็พาชี้ไปร้านค้าที่รู้จักกัน ซึ่งเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องนะ อยู่ดีๆ ก็มีตำรวจเข้ามาหาทอง แม่เจ้าของร้านที่รู้จักกับผมเดินเข้ามา ผมก็บอกเขาไปว่า แม่ช่วยผมด้วย ผมถูกซ้อม พอตำรวจรู้ว่าผมโกหก ก็พากลับเลย ตอนนั้นก็ตบอีก ตอนอยู่ในรถ”
เมื่อเจ้าหน้าที่พา “ช๊อปเปอร์” กลับถึงโรงพัก ตำรวจชุดนั้นก็แยกย้าย ส่วนเจ้าหน้าที่ที่เหลืออยู่ก็นำปัสสาวะของเขาไปตรวจ พร้อมระบุว่า “สีม่วง” จากนั้น มีเจ้าหน้าที่อีกชุดเข้ามา แล้วพากลับไปฝั่งร้อยเวร เพื่อติดต่อพ่อแม่ พร้อมส่งตัวไปยังโรงพยาบาลประจำจังหวัด เพื่อยืนยันผลตรวจสารเสพติดอีกครั้ง แต่สุดท้ายแล้ว ผลปัสสาวะของเขาไม่ได้มีสารเสพติด เหมือนที่ตรวจที่โรงพัก
“ผมถูกส่งตัวไป รพ.จังหวัด ไปตรวจหาสารเสพติด พ่อกับแม่ก็ตามไปพอดี ผลออกมา คือ ไม่มี จากนั้นก็กลับมาที่โรงพัก ตำรวจชุดนั้นไม่อยู่แล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ถามผู้เสียหายว่าต้องการจะแจ้งความหรือไม่ แต่ผู้เสียหายบอกว่าไม่ ตำรวจเลยให้กลับบ้าน พอลงมาจากโรงพัก ผู้เสียหายก็บอกว่า ถ้าไม่อยากให้แจ้งความก็เอาเงินมา ซึ่งพ่อผมก็บอกว่า ถ้าอยากแจ้งก็แจ้งไป แจ้งแยกกัน เพราะเชื่อว่าลูกบริสุทธิ์ เขาก็ไม่แจ้ง ผ่านไป 2-3 วัน ตำรวจมาบอกว่า ผู้เสียหายมาแจ้งความ ก็เริ่มกระบวนการไป”
ช๊อปเปอร์บอกว่า ตอนนี้คดีความของเขาที่ถูกกล่าวหาว่า “วิ่งราวทรัพย์” นั้นจบไปแล้ว ตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว เพราะหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายตัวจริงได้ หลังเหตุการณ์ผ่านไปประมาณ 1 เดือน แต่คดีที่ถูกตำรวจทำร้ายร่างกายนั้น ยังไม่เสร็จสิ้น เพราะไม่ว่าจะเดินทางไปร้องเรียนที่ใด ก็ยังไม่มีความคืบหน้า แต่ถึงอย่างไร เขาก็จะเดินหน้าร้องเรียนกับพ่อต่อไป จนกว่าทุกอย่างจะจบ
“สมศักดิ์” พูดเสริมว่า ความคืบหน้าล่าสุดของเรื่องนี้ หลังจากที่เดินทางไปร้องเรียนหลายๆ ที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ว่าจะชี้มูลกรณีดังกล่าวอย่างไร แต่ระหว่างที่รอผลสอบสวนที่ล่วงเลยมานาน 5 ปี กระทบกับชีวิตของลูก และครอบครัวอย่างมาก เนื่องจาก “ช๊อปเปอร์” จะรู้สึกระแวง และไม่สบายใจทุกๆ ครั้งที่เจอตำรวจ เพราะไม่รู้ว่าจะถูกตำรวจทำอะไรอีกบ้าง รวมถึงทำให้เขาไม่ตัดสินใจเรียนต่อด้วย เพราะกลัวการเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียว ขณะที่ตนเองถูกข่มขู่หลากหลายวิธี เพื่อให้หยุดร้องเรียนคดีตำรวจทำร้ายร่างกายครั้งนี้
ใน EP.3 เฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ จะพาคุณไปเจาะช่องโหว่ของกฎหมายที่ไม่สามารถเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐมือเปื้อนเลือด และช่องโหว่แห่งความไม่รู้ของ "แพะ" อันนำพาไปสู่หายนะ...
ปุจฉา : อะไรเอ่ย จับง่ายที่สุด?
วิสัชนา : จับแพะ!!
อย่าให้คำถามข้างต้น ต้องมีคำตอบเช่นนี้เลย มิเช่นนั้น เราจะมีตำรวจ ศาล และกระบวนการยุติธรรมอื่นๆ ไว้เพื่อสิ่งใดกัน...
ติดตามรายงาน เปิดโปงกลจับแพะ แฉสารพัดทรมานโหด ได้ที่