คุมตัว 2 กะเทยปินส์ส่งฟ้องฝากขังศาลแขวงพระนครใต้แล้ว ข้อหาทำร้ายร่างกาย โดย 1 ใน 2 ยกมือไหว้ขอโทษผ่านสื่อ ระบุไม่นึกว่าเรื่องจะมาถึงขนาดนี้ ด้าน ผบก.น.5 เผย เหตุการณ์นี้แบ่งเป็น 2 ส่วนคือผู้เสียหายชาวไทย 6 คน ถูกกลุ่มชาวฟิลิปปินส์ 20 กว่าคนรุมทำร้ายช่วงเช้ามืดวันที่ 4 มี.ค. แจ้งข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายแล้ว 2 คน ส่งฟ้องศาลปรับคนละ 5,000 บาท เตรียมออกหมายจับอีก 1 คน อีกคดีเป็นคดีที่สาวสองฟิลิปปินส์ถูกทำร้ายในซอยสุขุมวิท 11 แจ้งข้อหาชาวไทยแล้ว 1 คน ก่อนไกล่เกลี่ยไม่เอาความโดยฝ่ายไทยมอบเงินเยียวยา 10,000 บาท โต้ไม่มีรับส่วยให้ค้าประเวณี หรือนายหน้าให้วีซ่านักท่องเที่ยว
จากเหตุการณ์ “4 มี.ค.วันกะเทยผ่านศึก” หลังสาวสองไทยและฟิลิปปินส์มีเรื่องกระทบกระทั่งจนกลายเป็นเรื่องชุลมุนในซอยสุขุมวิท 11 เมื่อคืนวันที่ 4 ต่อเนื่องวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา กลายเป็นเรื่องทอล์กออฟเดอะทาวน์ตามที่ได้เสนอข่าวไปนั้น ล่าสุดเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 6 มี.ค. ที่สน.ลุมพินี พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น.5 เปิดเผยหลังประชุมร่วมกับพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ในคดีสาวประเภทสองชาวไทยปะทะสาวสองชาวฟิลิปปินส์ ว่า คดีนี้แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ กรณีที่ผู้เสียหายชาวไทย 6 คนถูกกลุ่มชาวฟิลิปปินส์กว่า 20 คน รุมทำร้ายช่วงเช้ามืดวันที่ 4 มี.ค. ตำรวจแจ้งข้อหาชาวฟิลิปปินส์ไปแล้ว 2 คน ข้อหาร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย และจะนำส่งฟ้องศาลแขวงพระนครใต้ในช่วงบ่ายวันนี้ นอกจากนี้พิสูจน์ทราบตัวบุคคลได้เพิ่มอีก 1 คน เป็นสาวสองชาวฟิลิปปินส์อยู่ระหว่างติดตามตัว พบว่ายังอยู่ในประเทศไทยได้เตรียมขอศาลออกหมายจับแล้ว เนื่องจากไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
ผบก.น.5 กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ 2 คือ คดีที่สาวสองชาวฟิลิปปินส์ และชาวไทยนัดรวมตัวซอยสุขุมวิท 11 ตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 4 มี.ค. ต่อเนื่องเช้าวันที่ 5 มี.ค. มีสาวสองชาวฟิลิปปินส์ 1 คน ถูกรุมทำร้าย พิสูจน์ทราบผู้กระทำผิดได้ 1 คนคือนาย “แชมป์” แจ้งข้อหาและได้รับการประกันตัวไปแล้ว คดีนี้ผู้เสียหายชาวฟิลิปปินส์ยื่นขอเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย เพราะไม่ติดใจดำเนินคดี ดังนั้น ช่วงบ่ายวันนี้ตำรวจประสานนายแชมป์เข้ามาเจรจากับผู้เสียหาย หากไกล่เกลี่ยกันได้ คดีจะจบในชั้นพนักงานสอบสวน แต่ยังไม่พูดถึงเรื่องการเรียกค่าเสียหาย รวมถึงจะประสานไปยังกลุ่มผู้เสียหายสาวสองชาวไทย 6 คนของคดีแรกว่า ประสงค์จะเข้าสู่ พ.ร.บ.ไกล่เกลี่ยด้วยหรือไม่
...
พล.ต.ต.วิทวัฒน์กล่าวต่อว่า ส่วนคดีที่ผู้เสียหายคนไทยแจ้งความกลุ่มฟิลิปปินส์ในคดีชิงทรัพย์กระเป๋าและสร้อยทองเมื่อช่วงเย็นวันที่ 5 มี.ค.ต้องเรียกผู้เสียหายมาให้ปากคำเพิ่ม เพราะยังให้การเรื่องพฤติการณ์ความผิดไม่ชัดเจนว่า เป็นการกระชากกระเป๋าหรือทำหล่นหาย ดังนั้นจะสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้งว่า เข้าข่ายความผิดหรือไม่ ส่วนสาวสองชาวฟิลิปปินส์ที่เดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว ยังไม่ชัดเจนว่า เป็นผู้ก่อเหตุหรือไม่ แต่ถ้าหากพบว่าเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ก็มีขั้นตอนตามกฎหมายที่จะเอาตัวมาลงโทษแน่นอน
พล.ต.ต.วิทวัฒน์ยังกล่าวอีกว่า เรื่องคู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยไกล่เกลี่ยกันไปตั้งแต่รอบแรกและจบไปแล้ว หากไม่มีการโพสต์ข้อความนัดหมายชักชวนรวมตัวกันจนทำให้เหตุการณ์บานปลายเรื่องนี้จะได้เชิญผู้โพสต์ชาวไทยที่นัดหมายรวมตัวเมื่อวันที่ 4 มี.ค. มาทำความเข้าใจ ย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องความเสียหายระหว่างประเทศ แต่เป็นเรื่องระหว่างบุคคล ได้พูดคุยกับสถานเอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทยเพื่อทำความเข้าใจกันดีแล้ว การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจได้ส่งชุดสายตรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบกวดขันจับกุมมาโดยตลอด ไม่พบการค้าประเวณีของกะเทยฟิลิปปินส์ในจุดเกิดเหตุซอยสุขุมวิท 11 หรือซอยข้างเคียง
ส่วนกรณีตั้งข้อสังเกตว่า มีนายหน้าให้วีซ่านักท่องเที่ยวกับชาวฟิลิปปินส์เข้ามาในไทย 20-30 วัน เพื่อบังหน้านั้น ผบก.น.5 ยืนยันว่า ไม่จริง เนื่องจากประเทศในอาเซียนไม่จำเป็นใช้วีซ่าในการเดินทาง แต่ต้องตรวจสอบอย่างละเอียดว่า กลุ่มคนเหล่านี้เข้ามาค้าประเวณีหรือไม่ ยืนยันว่าที่มีกระแสข่าวว่าตำรวจรับส่วย เพื่ออนุญาตให้ค้าประเวณีของสาวประเภทสองชาวฟิลิปปินส์นั้น ไม่เป็นความจริง
ต่อมาเวลา 15.00 น. พ.ต.อ.ภูมิยศ เหล็กกล้า รอง ผบก.น.5 พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ลุมพินี และพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี คุมตัวผู้ต้องหาสาวสองฟิลิปปินส์ 2 ราย คนแรกสวมชุดสีดำ ปิดใบหน้าและสวมแว่นตาดำ และอีก 1 คนสวมเสื้อสีขาว ส่งฟ้องศาลแขวงพระนครใต้ ในข้อหา “ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น” มีเพื่อนชาวฟิลิปปินส์ติดตามขึ้นรถไปด้วยอีก 1 คน ขณะที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ออกจากห้องสืบสวน สน.ลุมพินี 1 ในผู้ต้องหาสวมชุดสีดำ ใส่แว่นตาสีดำ ได้ยกมือไหว้ต่อสื่อมวลชนพร้อมพูดว่า “ซอรี่ ซอรี่ ”และจับใจความได้ว่า “ไม่คิดว่าเรื่องจะมาถึงขนาดนี้” ก่อนจะถูกนำตัวขึ้นรถตู้ตำรวจเพื่อไปฝากยังศาลแขวงพระนครใต้ รายงานแจ้งว่าในคดีนี้ยังมีผู้ต้องหาที่เหลืออีก 1 ราย ที่จะพิสูจน์ทราบตัวบุคคลได้ แต่ยังหลบหนีอยู่ระหว่างติดตามตัวมาแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป
ที่ศาลแขวงพระนครใต้ ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง 4 ยื่นฟ้องด้วยวาจา นายจอห์น ริช มิรันดา นายคริสเตียน คัลมา คัสโตร 2 ชาวฟิลิปปินส์เป็นจำเลย ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ คำฟ้องด้วยวาจาบรรยายว่า เมื่อวันที่ 4 มี.ค.67 เวลาค่ำ จำเลยทั้งสองร่วมกับพวกอีกหลายคนซึ่งหลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ร่วมกันทำร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้าย ใช้มือดึงศีรษะและกำปั้นชกต่อยผู้เสียหายทั้ง 6 ที่ใบหน้า ลำตัวอย่างแรงหลายครั้ง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้งหมดบาดเจ็บ มีบาดแผลฟกช้ำ เแผลถลอก บริเวณที่ต่างๆ เหตุเกิดที่แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร
...
ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ก่อนเริ่มพิจารณา ศาลสอบถามผ่านล่ามจำเลยทั้งสองเรื่องทนายความ จำเลยทั้งสองไม่มีและไม่ต้องการทนายความจึงอ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยทั้งสองฟังและได้ดำเนินกระบวนการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพหน้าที่ตามกฎหมาย ตลอดจนแนวทางบรรเทาความเสียหายแก่ผู้เสียหาย จำเลยทั้งสองรับสารภาพตลอดข้อหา ศาลพิพากษาว่า มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ปรับคนละ 10,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับคนละ 5,000 บาท ก่อนแยกย้ายกันกลับ
ต่อมาเวลา 17.30 น. วันเดียวกัน ที่ สน.ลุมพินี พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น.5 พ.ต.อ.ภูมิยศ เหล็กกล้า รอง ผบก.น.5 และ พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผกก.สน.ลุมพินี นำคู่กรณีสาวสองชาวฟิลิปปินส์มาเจรจากันกับนายณัฐพร บัวแก้ว หรือแชมป์ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาที่ทำร้ายร่างกายขณะเกิดเหตุชุลมุนหน้าโรงแรมซิติน ซอยสุขุมวิท 11 เมื่อคืนวันที่ 4 มี.ค. ต่อเนื่องวันที่ 5 มี.ค. โดย พล.ต.ต.วิทวัฒน์กล่าวว่า การเจรจาวันนี้เป็นความประสงค์ของผู้เสียหายคือ สาวสองชาวฟิลิปปินส์และนายแชมป์ผู้กระทำความผิด เป็นนิมิตหมายที่ดีในการเจรจาตามความประสงค์ของทั้งสองฝ่าย โดยสาวสองชาวฟิลิปปินส์ไม่ได้ประสงค์จะเอาผิดผู้กระทำความผิด และผู้กระทำความผิดเองแสดงความรับผิดชอบออกค่ารักษาพยาบาลให้ผู้เสียหาย 10,000 บาท อีกทั้งผู้เสียหายจะไม่ดำเนินคดีบุคคลอื่นที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเหตุที่เกี่ยวข้องด้วย โดยผู้เสียหายมีแผลตามใบหน้าและลำตัวทั่วร่างกาย
...
ด้านสาวสองชาวฟิลิปปินส์กล่าวว่า อยากจบปัญหาทุกอย่างด้วยดีและควรจะเป็นเพื่อนกันดีกว่า เหตุการณ์วันนั้นรู้สึกตกใจ หลังจากเหตุการณ์นี้ยังไม่มีแผนที่จะกลับมาเที่ยวประเทศไทยและจะเดินทางกลับประเทศฟิลิปปินส์ทันที ขณะที่นายแชมป์ ผู้กระทำผิด กล่าวว่า ขอขอบคุณผู้เสียหายที่ยอมไกล่เกลี่ยทำให้ตนไม่มีคดีความ โดยชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายเป็นเงิน 10,000 บาท ยอมรับว่าสิ่งที่ทำไปเป็นความรุนแรงทำไปด้วยอารมณ์ จากเหตุการณ์นี้ทำให้รู้ว่า ความรุนแรงไม่ใช่ทางออกเสมอไป ภายหลังผู้เสียหายและผู้กระทำความผิดได้มีการมอบเงินชดเชย 10,000 บาท และได้มีการจับมือและโอบกอดเพื่อถ่ายภาพเป็นที่ระลึกด้วย
อีกด้านหนึ่ง เมื่อเวลา 18.00 น. พชร์ อานนท์ ผู้กำกับภาพยนตร์หอแต๋วแตกแหกสัปะหยด (ภาพยนตร์ ในตำนานกับการร่วมตัวมารดาแทร่ ภาคสุดท้ายที่ไม่ท้ายสุด) เชิญสื่อมวลชนเก็บภาพเบื้องหลังกองถ่ายเรื่องนี้ ที่โครงการเดอะฮับ พหล-อารีย์ ถนนพหลโยธินติดกับ สน.บางซื่อ พร้อมด้วยนักแสดง จตุรงค์ มกจ๊ก โก๊ะตี๋ อารามบอย แทค ภรัณยู โรจนวุฒิธรรม ร่วมด้วยกะเทย 50 คน จากเหตุการณ์กอบกู้ศักดิ์ศรีกะเทยไทยสุดเดือด ต่างวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ที่กะเทยไทยถูกกะเทยฟิลิปปินส์รุมทำร้าย ก่อนเข้าฉากเริ่มถ่ายทำ เวลา 19.00 น. โดยพชร์ อานนท์ ถ่ายจำลองเหตุการณ์ศึกสาวสอง ก่อนตำรวจจะเข้ามาระงับเหตุเพื่อนำไปประกอบภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว มีน้องตุ้ม ปริญญา เจริญผล นักมวยชื่อดังแต่งชุดนักมวยมาให้กำลังใจและเข้าฉากเหตุการณ์นี้ด้วย
...
ขณะที่พชร์ อานนนท์ เผยว่า เปิดกล้องเรื่องนี้ช่วงเหตุการณ์ศึกสาวสอง และเหตุการณ์ฝรั่งเตะหมอว่าเพื่อเป็นบทเรียน และอุทาหรณ์ไม่ต้องการให้สาวสองไทยและสาวสองปินส์ใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหา ตนไม่สนับสนุนความรุนแรงแต่ให้มองเรื่องความสามัคคี และมองว่าชาวต่างชาติเข้ามาอยู่เมืองไทยไม่น่าสร้างปัญหาทำผิดกฎหมายเมืองไทย
ด้านน้องตุ้มกล่าวว่า ถ้าชาวต่างชาติมาดีเราก็ต้อนรับ แต่ถ้ามาไม่ดี ทำตัวไม่น่ารัก มารังแกเรา เราก็ให้บวกไปเลย แต่ไม่ได้คิดบวกนะกล่าวติดตลกไม่ต้องการให้มวยไทยไปทำร้ายใครเอาไว้ป้องกันตัวและเอาตัวรอดช่วยเหลือตัวเองให้ปลอดภัย อย่าไปทำร้ายใคร