เครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ากลุ่มลาขาดควันยาสูบ (ECST) ขอเป็นตัวแทน "ผู้ใหญ่" ร้องนายกฯ ปกป้อง "เด็กและเยาวชน" จากการแพร่ระบาดหนักของบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อน ชี้ทางเดียวที่จะลดในเด็กและเยาวชนคือการทำให้บุหรี่ไฟฟ้า "ถูกกฎหมาย" และควบคุมเข้มงวด เพื่อให้สามารถควบคุมอายุผู้ซื้อขายได้
เมื่อวันที่ 18 ม.ค. 67 นายมาริษ กรัณยวัฒน์ กล่าวถึงกรณีกลุ่มตัวแทนเด็กและเยาวชนเข้ายื่นหนังสือต่อนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ในช่วงเทศกาลวันเด็กปี 2567 ที่ผ่านมา เพื่อขอให้คงไว้ซึ่งกฎหมายห้ามนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า โดยกล่าวว่า การที่กลุ่มต่อต้านบุหรี่ไฟฟ้าเคลื่อนไหวโดยการนำเด็กและเยาวชนมาเป็นข้ออ้างเพื่อให้คงไว้ซึ่ง 'แบนทิพย์' นั้น เป็นเรื่องที่ย้อนแย้งกับความเป็นจริง การที่ท่านอ้างว่า ปัจจุบันเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนไทยในรูปแบบตัวการ์ตูน กล่องนม เครื่องเขียน รวมถึงปัญหาอายุเฉลี่ยของเด็กที่พบว่าใช้บุหรี่ไฟฟ้าที่ต่ำลงเรื่อยๆ นั้น ล้วนแล้วแต่มีต้นตอมาจากกฎหมายแบนที่ไร้ประสิทธิภาพ
"ในฐานะผู้ใหญ่และตัวแทนผู้บริโภค เราเห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้าต้องถูกควบคุมด้วยกฎหมายที่ชัดเจน ระบุอายุผู้ซื้อขาย กำหนดรูปแบบและหน้าตาของบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อไม่ให้ดึงดูดเด็กและเยาวชน รวมถึงกำหนดพื้นที่ซื้อขายให้ห่างไกลโรงเรียนสถานศึกษา เราเชื่อว่ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะช่วยปกป้องเด็กและเยาวชนจากบุหรี่ไฟฟ้าได้อย่างแท้จริง"
นายมาริษ กล่าวด้วยว่า ล่าสุดมีสื่อรายงานตัวเลขการส่งออกบุหรี่ไฟฟ้าจากจีนสู่ไทยโดยเว็บไซต์ศุลกากรจีนคิดเป็นมูลค่ามหาศาลกว่า 1,600 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่ว่า มีบุหรี่ไฟฟ้าเถื่อนมหาศาลลักลอบขายในตลาดใต้ดินประเทศไทยในปัจจุบัน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
...
นอกจากนี้ กลุ่มเครือข่ายฯ ยังได้กล่าวถึงประเด็นดราม่าในสังคมออนไลน์ล่าสุด ที่กล่าวถึงการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในที่สาธารณะ เช่น คอนเสิร์ต ว่าไม่นานมานี้มีการกล่าวถึงประเด็นการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในที่สาธารณะ รวมถึงการประกาศห้ามนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้าพื้นที่แสดงคอนเสิร์ต ก็เป็นการยืนยันชัดว่าในปัจจุบันนั้นมีผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก และประเทศไทยต้องการกฎหมายที่ชัดเจนที่จะระบุว่าพื้นที่ใดใช้บุหรี่ไฟฟ้าได้ พื้นที่ใดใช้ไม่ได้ ซึ่งการแบนมีแต่จะทำให้การใช้บุหรี่ไฟฟ้าแบบไม่เลือกที่กลายเป็นความปกติใหม่