"กรมควบคุมมลพิษ" เผย คุณภาพแหล่งน้ำช่วงต้นฤดูฝนจะเสื่อมโทรมเพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบหนักต่อสัตว์น้ำและสิ่งแวดล้อม พร้อมแนะประชาชนระวังน้ำปนเปื้อน และวิธีเตรียมรับมือ
วันที่ 25 พฤษภาคม 2566 มีรายงานว่า นายพิทยา ปราโมทย์วรพันธุ์ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และโฆษกกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า ในช่วงนี้ประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน โดยในช่วงต้นฤดูฝนจะมีการชะล้างสิ่งปนเปื้อนต่างๆ ลงสู่แหล่งน้ำเป็นจำนวนมาก เช่น น้ำเสียที่ตกค้างอยู่ในท่อระบายน้ำเสีย น้ำชะจากพื้นที่เกษตร น้ำฝนที่ชะกองวัสดุสารเคมีและวัตถุอันตรายต่างๆ เป็นต้น
อาจทำให้คุณภาพน้ำเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน เช่น ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง เกิดการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความเป็นกรด-ด่าง และความขุ่นของน้ำอย่างรวดเร็วหลังฝนตก เป็นต้น ส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำและระบบนิเวศ โดยจากการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำแหล่งน้ำผิวดินทั่วประเทศ ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ของทุกปี
ซึ่งเป็นช่วงต้นฤดูฝน พบว่าแหล่งน้ำจะอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมเพิ่มมากขึ้น หรืออยู่ในเกณฑ์แหล่งน้ำประเภทที่ 4 สามารถใช้ประโยชน์เพื่อการอุตสาหกรรม ส่วนการใช้ประโยชน์เพื่อการอุปโภคและบริโภค ต้องผ่านการฆ่าเชื้อโรคตามปกติ และผ่านกระบวนการปรับปรุงคุณภาพน้ำเป็นพิเศษก่อน
...
นายพิทยา กล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดจากการชะล้างสิ่งปนเปื้อนในช่วงต้นฤดูฝน ส่งผลให้น้ำมีความขุ่นและตะกอนแขวนลอยเพิ่มขึ้น เกิดผลกระทบต่อสัตว์น้ำ โดยเฉพาะปลาจะมีปัญหาในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนของเหงือก จนทำให้ปลาตายได้คราวละมากๆ ในระยะเวลาอันสั้น หรือที่เรียกว่าอาการน็อกน้ำ (Fish kill)
ทั้งนี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชัง ควรเตรียมพร้อมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับสัตว์น้ำ เช่น เตรียมเครื่องตีน้ำเพื่อเพิ่มออกซิเจน โดยเมื่อฝนหยุดตกควรเปิดเครื่องตีน้ำ และควรลดปริมาณอาหารให้น้อยลง หรืองดให้อาหารในวันที่ฝนตก เพื่อลดปริมาณของเสียในบริเวณกระชัง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม คพ. ขอความร่วมมือทุกภาคส่วนในการป้องกันปัญหาคุณภาพน้ำในช่วงฤดูฝน โดยการจัดเก็บสารเคมี วัตถุอันตรายที่ใช้ในการเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และบ้านเรือน ให้อยู่ในที่ปลอดภัยและพ้นน้ำ ดูแลบ่อเก็บกักน้ำเสีย/บ่อบำบัดน้ำเสียและสถานที่กำจัดขยะมูลฝอย ไม่ให้เกิดการรั่วไหลลงสู่แหล่งน้ำหรือออกสู่สิ่งแวดล้อม
หากพบปัญหาน้ำเสีย หรือสารเคมีรั่วไหล ประชาชนผู้พบเหตุสามารถแจ้งเหตุฉุกเฉินมายังกรมควบคุมมลพิษผ่านทางสายด่วน 1650.