ครอบครัว “สารวัตรคลั่ง” ส่งทนายยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม ระบุคาใจ “อรินทราช 26” ทำเกินกว่าเหตุ ตั้งข้อสังเกต ถูกยิงซ้ำหรือเจตนาให้เสียชีวิตหรือไม่ เพราะร่องรอยการยิงวิถีกระสุนในบ้านเหมือนถูกไล่ล่ามากกว่ายิงเพื่อให้เข้าควบคุมตัวได้ เผยขณะเกิดเหตุพี่ชายสารวัตรที่เป็นตำรวจขอร้องอย่าเพิ่งบุกเข้าไป รอให้เดินทางจากเชียงใหม่ไปถึงก่อน พี่น้องคุยกันเห็นหน้าอาจจะเย็นลงได้ ด้านโฆษก ตร. ยัน ตำรวจเน้นเจรจาประเมินอาการร่วมกับทีมแพทย์และนักจิตวิทยาตลอด ระบุ ผบ.ตร.ย้ำให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

จากเหตุระทึกที่จบลงด้วยความตาย พ.ต.ท.กิตติกานต์ แสงบุญ หรือ “สารวัตรกานต์” สังกัดศูนย์พัฒนาด้านการข่าว กองบัญชาการตำรวจสันติบาล ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติการณ์ของหน่วยอรินทราช 26 หลังคลุ้มคลั่งกราดยิงขังตัวเองไว้ในบ้านย่านสายไหมตั้งแต่เช้าวันที่ 14 มี.ค. และถูกชุดปฏิบัติการพิเศษ “อรินทราช 26” บุกเข้าควบคุมตัวจนเกิดปะทะกันในเที่ยงวันรุ่งขึ้น ก่อนที่ พ.ต.ท.กิตติกานต์จะเสียชีวิตในเวลาต่อมา กินเวลากว่า 27 ชั่วโมง

ล่าสุด เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 20 มี.ค. ที่ สน.สายไหม นายอนุชิต ธาตุเสียว ทนายความครอบครัว พ.ต.ท.กิตติกานต์ แสงบุญ อายุ 51 ปี หรือสารวัตรกานต์ เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ พ.ต.อ.รังสรรค์ สอนสิงห์ ผกก.สน.สายไหม เกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตและการเข้าระงับเหตุของเจ้าหน้าที่

นายอนุชิตเผยว่า รับมอบอำนาจจากพ่อและแม่ผู้ตาย ให้ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมและให้สอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆที่ครอบครัวยังติดใจเกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิต จากสิ่งที่ได้เห็นโดยเฉพาะร่องรอยที่เกิดเหตุ ทำให้ครอบครัวสงสัยว่าน่าจะเป็นการทำเกินกว่าเหตุจนทำให้ถึงแก่ความตาย จากการตรวจสอบพบว่า มีร่องรอยถูกยิงบริเวณหลังบ้าน เป็นจุดที่ผู้ตายตกลงมาจากชั้น 2 บริเวณกำแพงและประตูด้านหลังบ้านที่ชั้น 1 มีร่องรอยกระสุนทะลุออกไป รวมทั้งมีร่องรอยกระสุนบริเวณหลังบ้านด้วย สงสัยว่าเจ้าหน้าที่ยิงซ้ำก่อนจะเข้าไปควบคุมตัวหรือไม่ อยากให้ตำรวจพิสูจน์หลักฐานตรวจพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ให้ละเอียด นอกจากนี้ ในบ้านมีร่องรอยวิถีกระสุนจำนวนมาก ลักษณะเหมือนถูกไล่ล่ามากกว่ายิงเพื่อให้เข้าควบคุมตัวได้

...

ส่วนกรณีที่ก่อนหน้านี้ตำรวจเคยออกมาบอกว่าครอบครัวไม่ได้ติดใจนั้น นายอนุชิตระบุว่า ครอบ ครัวสารวัตรไม่ได้มีเพียงแค่พี่ชายที่เป็นตำรวจ แต่ยังมีพ่อแม่ที่อายุมากแล้ว ท่านสงสัยในจุดต่างๆเท่าที่พูดคุยทราบว่า ระหว่างที่ตำรวจปฏิบัติการได้ประสานหาญาติ พี่ชายสารวัตรแจ้งกับเจ้าหน้าที่ ขอเวลาให้เขาเดินทางมาถึงที่เกิดเหตุก่อนเพื่อร่วมปฏิบัติการได้หรือไม่ ขอยังไม่ให้สั่งการบุกเข้าไปควบคุมตัว พี่ชายอยู่เชียงใหม่ต้องใช้เวลาเดินทาง แต่ท้ายสุดเจ้าหน้าที่ไม่ได้รอ ครอบครัวเชื่อว่า หากพี่น้องได้พูดคุยกันจะทำให้อารมณ์เย็นลงได้ แม้จะได้วิดีโอคอลกับแม่ แต่ไม่เหมือนการได้เจอกันต่อหน้า เพราะอยู่ในภาวะที่กำลังคลุ้มคลั่ง ครอบครัวต้องการให้มีพนักงานอัยการเข้ามาร่วมสอบสวนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ส่วนที่กำหนดระยะเวลาใน 3 วัน เพราะกลัวว่าหากระยะเวลาผ่านไป หลักฐานต่างๆ ในที่เกิดเหตุ จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ ส่วนเรื่องการเยียวยา ยังไม่ได้พูดคุยกันเรื่องนี้

หลังจากนั้นนายอนุชิตเข้าพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนเปิดเผยอีกครั้งว่า จากที่ได้พูดคุยกันมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงอยู่ด้วย ยืนยันจะสอบสวนพยานเพิ่มเติมเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริง และจะให้ความเป็นธรรมกับญาติผู้เสียชีวิต แต่กรอบระยะเวลา 3 วันที่ครอบครัวขอไปนั้น อาจจะทำได้ไม่ทัน เพราะเป็นคดีสำคัญต้องใช้ระยะเวลา หลังจากนี้จะไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ขอให้ตรวจสอบกรณีนี้ และในวันที่ 21 มี.ค. พี่ชายสารวัตรที่เป็นตำรวจจะมาที่กรุงเทพฯติดตามเรื่องนี้ด้วยตนเอง

วันเดียวกัน พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร.เปิดเผยว่า สถานการณ์วันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่พร้อมกับทีมแพทย์ และนักจิตวิทยาของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข มีการพูดคุยประเมินอาการผู้ก่อเหตุตลอดใช้ความพยายามทุกอย่างเพื่อคลี่คลายสถานการณ์โดยไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสีย คำนึงถึงความปลอดภัยทั้งของผู้ก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ที่ทำงาน และประชาชน ระมัดระวังในการดำเนินการตามหลักยุทธวิธีอย่างที่สุด เจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยเกี่ยวข้องเน้นการเจรจาตลอด แต่เมื่อจำเป็นต้องเข้าควบคุมสถานการณ์ ได้ปฏิบัติตามหลักยุทธวิธีกระทั่งผู้ก่อเหตุเสียชีวิตในเวลาต่อมา เห็นว่าทุกขั้นตอนตั้งแต่การเข้าควบคุมสถานการณ์ การทำสำนวนคดี และการชันสูตรพลิกศพ มีหน่วยงานอื่นๆเกี่ยวข้องร่วมปฏิบัติ ตำรวจไม่ได้ทำฝ่ายเดียว อีกทั้งเป็นคดีที่อยู่ในความสนใจของสังคม ตร.ให้ความสำคัญในการปฏิบัติทุกขั้นตอนอยู่แล้ว ยิ่งมีการสูญเสีย ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ผบ.ตร.ได้กำชับให้ดำเนินการไปตามพยานหลักฐาน ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย