ปัญหาระดับชาติสำหรับ “ธุรกิจสีเทาจีนเข้ามาอาศัยใช้ประเทศไทย” เป็นฐานสำคัญต่อการกระทำความผิดกฎหมายหลายรูปแบบ ทำให้ในช่วงหลายเดือนมานี้ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ต่างสนธิกำลังปราบปรามจับกุมรายวัน จนกลายเป็นกระแสร้อนให้สังคมต้องเฝ้าจับตากันอย่างใกล้ชิด
ส่วนหนึ่งมาจากก่อนหน้านี้ “จีนปราบปรามการคอร์รัปชันอย่างหนัก” จนกลุ่มธุรกิจสีเทาบางส่วนแตกกระเจิงออกนอกประเทศเข้ามา “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ตั้งแต่ก่อนวิกฤติโควิด-19 เสียด้วยซ้ำ
เช่นเดียวกับประเทศไทยเริ่มเข้ามามีบทบาทเมื่อ 5-6 ปีที่แล้วโดย รศ.ดร.วศิน ปัญญาวุธตระกูล อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ ม.นเรศวร ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่ปี 2562 “คนจีนรุ่นใหม่” เริ่มเคลื่อนย้ายถิ่นฐานเข้ามาในไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยภายใต้กระแส “รัฐบาลจีน” ส่งเสริมสนับสนุนให้พลเมืองออกไปลงทุนในต่างประเทศ
เท่าที่เคยประชุมร่วมระหว่าง “หอการค้าไทย-ยูนนานแห่งจีน” บอกระบุชัดเจนเลยว่า “เยาวชนจีน” ที่ต้องการเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่สามารถกระทำได้เพียงแต่ “ต้องออกไปทำธุรกิจต่างประเทศ” แล้วทำแผนธุรกิจนั้นเสนอต่อ “รัฐบาลจีน” เพื่อขอการสนับสนุนเงินช่วยเหลือในการเตรียมตัวลงทุนได้ 1 เท่าของจำนวนเงินที่เสนอนั้น
...
ตอกย้ำด้วยการสำรวจในงานวิจัยปรากฏพบ “คลื่นคนจีนรุ่นใหม่ในไทย” ส่วนใหญ่เข้ามาประกอบธุรกิจการค้า และการบริการหลายรูปแบบ แล้วมักมีเรื่องทุจริตเงินใต้โต๊ะ หรืออิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ
อย่างเช่นกรณี “คนจีนเข้ามาทำธุรกิจตั้งโรงงานคัดบรรจุผลไม้ (ล้งจีน)” ในช่วงแรกมักเป็นรูปแบบการร่วมลงทุนกับคนไทย “รับซื้อผลไม้สด หรือแปรรูปผลไม้ส่งออกไปขายในจีน” ก่อนเรียนรู้เห็นช่องทางการทำมาหากินในไทยก็ขยับขยายธุรกิจด้วยการชักชวนครอบครัว คนรู้จัก เข้ามาเปิดร้านทำธุรกิจขายผลไม้เต็มตัว
ทำให้ช่วงหลังพบเห็น “คนจีนเข็นรถขายผลไม้” ตามย่านแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของกรุงเทพฯเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะถนนสุขุมวิท ซอยนานา เยาวราช สีลม บางรัก หรือจุดใกล้ทางขึ้นลงรถไฟฟ้าผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด
แล้วมีข้อมูลอีกว่า “กลุ่มคนจีนขายผลไม้บางคนเรียนรู้ช่องโหว่กฎหมาย” แล้วสร้างความสัมพันธ์รวมตัวกันเป็นเครือข่ายผันดันตัวเป็นผู้มีอิทธิพลคล้าย “อั้งยี่” ดูแลเคลียร์ปัญหาให้ “คนจีน” โดยมีผู้มีสีคอยหนุนหลังก่อนแยกตัวมา “ทำกิจการสีเทาเต็มตัว” ไม่ว่าจะเป็นสถานบริการ การพนัน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และเรื่องยาเสพติด
สิ่งที่น่าจับตาถัดมาคือ “นักศึกษาจีนเรียนต่อในไทย” สมัยก่อนมักมีเป้าหมายต้องการพูดภาษาไทย “เพื่อนำไปสู่อาชีพไกด์ในประเทศจีน” รองรับคนไทยที่จะไปท่องเที่ยว หรือลงทุนในประเทศจีนนั้น
แต่ช่วงหลังมานี้ “นักศึกษาจีนมาเรียนกลับต้องการอยู่แบบกึ่งถาวร” ด้วยการเช่าตึกแถวอาคารพาณิชย์อยู่หลายจุดในกรุงเทพฯ เช่น ย่านรัชดา ห้วยขวาง ยานนาวา เอกมัย เมื่อเรียนจบก็มีแนวโน้มทำงานในไทยต่อ เพราะมีโอกาสได้ทำงานสูงกว่าในจีนที่มีประชากรหนาแน่น ทำให้การแข่งขันย่อมต้องสูงตามมาด้วย
แล้วด้วย “นักศึกษากลุ่มนี้กล้าทำกล้าลองพร้อมเผชิญสู่โลกภายนอก” ส่วนใหญ่รู้ระบบช่องทางหากินในไทยดีแล้ว “นำสินค้าจีนมาขายในราคาถูก” เพื่อกระจายให้กลุ่มคนจีนเปิดร้านขายรายเล็กๆ ยิ่งกว่านั้น “ผู้ที่พูดไทยพอได้ก็เปิดร้านขายออนไลน์ราคาถูก” จนกระทบต่อคนไทยสูญเสียผลประโยชน์ตรงนี้
“เดิมที่คนจีนกลุ่มนี้เข้ามาตามนโยบายจีนหนุนให้พลเมืองไปทำธุรกิจในต่างประเทศ เมื่ออาศัยอยู่นานมักเรียนรู้เห็นช่องโหว่กฎหมายก่อนผันตัวสู่ธุรกิจสีเทาฉาบฉวยหาผลประโยชน์แล้วหอบเงินหนีกลับประเทศ อันมีความต่างจากจีนโพ้นทะเลอพยพมาเพื่อปักฐานใช้ชีวิตบนแผ่นดินไทยทำให้รักหวงแหนแผนดินนี้” รศ.ดร.วศินว่า
...
ไม่เท่านั้น “ทุนจีนยังเข้ามาร่วมกับคนไทยทำธุรกิจโรงแรมโฮเทลมากมาย” ตามแหล่งท่องเที่ยวทั่วกรุงเทพฯ และใกล้สนามบินดอนเมือง ปัจจุบันค่อนข้างซบเซาเผชิญปัญหาขาดรายได้ “บางแห่งต้องปิดกิจการก็มี” เพราะส่วนหนึ่ง “คนจีน” ชอบถอนตัวขายหุ้นเปลี่ยนมือให้ “คนจีนรายใหม่” เข้ามาควบรวมบริหารอยู่เรื่อยๆ
เพื่อเป็นกลยุทธ์ “การหลอกนำนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาพัก” แล้วกดดันให้คนไทยต้องหากู้ยืมเงินมาปรับปรุงโรงแรม “ถ้าได้ผลกำไรก็จะนำเงินส่งกลับประเทศ” สุดท้ายเมื่อต้องเผชิญกับ “ภาวะขาดรายได้” คนจีนก็จะหนีกลับประเทศปล่อยให้คนไทยต้องชดใช้หนี้เงินกู้นำมาปรับปรุงโรงแรมเพียงลำพังด้วยซ้ำ
สิ่งที่น่าสนใจ “จีนบางคนใช้ธุรกิจโฮเทลบังหน้า” เบื้องหลังขยายเครือข่ายมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับ “ธุรกิจสีเทาจีน” ที่กำลังถูกซุกซ่อนไว้ใต้พรมกระจายเกลื่อนเต็มไปหมดเพียงแต่ที่ปรากฏให้เห็นเป็นข่าวอยู่ตอนนี้นั้น “เกิดจากกลุ่มขัดผลประโยชน์กัน” ส่วนที่เหลือยังแฝงอยู่ในสังคมไทยอีกมากมายเช่นเดิม
ทว่า สำหรับเรื่อง “รัฐบาลจีนหนุนให้พลเมืองเข้ามาลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” เพราะมีจุดมุ่งหมายสำคัญต่อ “การสร้างเส้นทางการค้า” ที่พยายามจะเข้าควบคุมกิจการอย่างประเทศไทย กัมพูชา สปป.ลาว และเมียนมา เพื่อให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศพัฒนาในที่สุด
ด้วยการวางหลักคิดมอง “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเหมือนตัวไก่” โดยมีปักกิ่งเป็นศูนย์กลางเหมือน “ปากไก่” ส่วน สปป.ลาว เมียนมาเป็น “ท้องไก่” และประเทศไทยคือ “ขาไก่” อันจะเชื่อมระบบรางรถไฟไปสู่ “มาเลเซีย และสิงคโปร์” เป็นเสมือน “เท้าไก่” ที่มีฐานของคนจีนเก่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากนั้น
...
ย้ำด้วยการสร้างหลายปัจจัยเอื้อให้ต่อคนจีนหลั่งไหลเข้ามาอย่างเช่น การพัฒนาสาธารณูปโภคเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ความร่วมมือข้อตกลงระหว่างประเทศ และการให้เงินช่วยเหลือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สะพาน ที่มีความสำคัญเชื่อมโยงจากประเทศจีนไปยังประเทศในภูมิภาคนี้
แต่ด้วยเพราะ “ประเทศไทย” ยังไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ “รัฐบาลจีน” จึงมีการสนับสนุนช่วยเหลือแก่คนจีนเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง พร้อมทำควบคู่กับการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการค้า และการลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนจีนสามารถเข้าทำธุรกิจในไทยได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
ในการศึกษาเห็นได้ชัดว่า “ทุนจีนเข้ามาหลากหลาย” ไม่เว้นแม้แต่ “ตลาดการศึกษา” ที่มีนักศึกษาจีนมาเรียนมากขึ้นทำให้กลุ่มทุนจีนเห็นช่องทางการเติบโตต่างเข้ามาร่วมลงทุนในมหาวิทยาลัยเอกชนมากมายเช่นกัน
จริงๆแล้ว “ธุรกิจจีนสีเทา หรือกลุ่มมาเฟียจีนในไทยปรากฏมาตั้งแต่ปี 2558” แต่หน่วยงานรัฐอาจจะไม่รู้ หรือปิดตาข้างเดียว จนทำให้ขยายธุรกิจเติบโตครอบคลุมหลายประเภท ทั้งบริษัททัวร์จีน ทำร้านอาหาร ร้านคาราโอเกะ สถานบันเทิง โรงแรม การนำผู้หญิงจีนมาขายบริการให้คนจีนในไทย และลักลอบเปิดบ่อนการพนัน
...
แล้วก็มีข่าวลือว่า “เจ้าหน้าที่รัฐบางคนเอื้อประโยชน์อยู่เบื้องหลังธุรกิจนี้” เพียงแต่ในช่วงการระบาดโควิด-19 “ส่งผลกระทบต่อแหล่งเงินทุนรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลง” ทำให้กลุ่มธุรกิจสีเทาขาดรายได้จนไม่มีเงินจ่ายส่วยได้เหมือนเดิม กลายเป็นบางคนไม่อยู่ในระบบการดูแลเลยถูกเปิดตัวออกมาเท่านั้นเอง
ดังนั้น สิ่งที่ปรากฏเกิดขึ้นนี้เป็นเพียง “น้ำลดตอผุด” เฉพาะยอดปลายของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นแต่ภายในภูเขายังเต็มไปด้วยธุรกิจสีเทาจีนมีระบบขนาดใหญ่กว่าที่โผล่ออกมาเป็นข่าวมาก และหากเปิดประเทศแล้วคนจีนเข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้น “ภาพธุรกิจสีเทานี้จะหายไป” เพราะระบบเงินจะเข้ามาช่วยซ่อนไว้ใต้พรมดังเดิม
นี่คือกลยุทธ์การลงทุน “กลุ่มคนจีนรุ่นใหม่ในไทย” ที่หน่วยงานภาครัฐยังไม่เคยเรียนรู้เสียด้วยซ้ำเพราะกำลังมอง “เป็นระบบการค้าปลีก หรือธุรกิจขนาดเล็ก” แต่ความจริงแล้วกลับสามารถสร้างโครงข่ายขนาดใหญ่กระจายออกไปในหลายพื้นที่ที่แทรกเข้า “รูโหว่กฎหมาย” พัฒนาเครือข่ายธุรกิจสีเทาขยายเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
ฉะนั้น “รัฐบาลไทย” ต้องปฏิรูปกฎระเบียบให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกไร้พรมแดน เพื่อปิดรูโหว่ขนาดใหญ่ “มิให้องค์กรธุรกิจสีเทา” เข้ามาสร้างปัญหาในประเทศไทยเสียหายได้อีกต่อไป.