เมื่อวันที่ 17 ม.ค.66 ที่สำนักงานใหญ่ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ BTSC นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ BTSC แถลงว่า ตามที่บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือ เคที กล่าวอ้างว่า สัญญาจ้างเดินรถที่กรุงเทพ ธนาคมทำกับรถไฟฟ้าบีทีเอสเป็นสัญญาที่ไม่ชอบ พร้อมทั้งกล่าวอ้างว่า การใช้สิทธิฟ้องคดีของ BTSC เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต เพราะ BTSC ทราบดีอยู่แล้วว่าบริษัท กรุงเทพธนาคมไม่สามารถดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และที่ 2 ได้ด้วยตนเอง แต่ BTSC ยังสมัครใจเข้าทำสัญญากับบริษัท กรุงเทพธนาคม แล้วจึงกลับมาฟ้องบริษัทเป็นคดีนั้น ข้อมูลที่กรุงเทพธนาคมเผยแพร่เป็นข้อมูลที่ทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย

นายสุรพงษ์ กล่าวว่า บริษัทไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆในกระบวนการอนุมัติและการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบและ หรือข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานคร และกรุงเทพธนาคม บริษัทได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเข้าทำสัญญาจ้างเดินรถไฟฟ้าทั้งของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และที่ 2 เฉพาะในขั้นตอนการยื่นข้อเสนอเพื่อรับคัดเลือกเป็นผู้รับจ้างและการเจรจาสัญญาว่าจ้างเท่านั้น ซึ่งตลอดระยะเวลาการดำเนินการในขั้นตอนดังกล่าว บริษัทได้ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องและกฎเกณฑ์ การคัดเลือกผู้รับจ้างอย่างถูกต้องครบถ้วน ดังนั้น การเข้าทำสัญญาจ้างเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายของบริษัท จึงเป็นไปโดยสุจริต และถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว ซึ่งมีผลทำให้สัญญามีความชอบด้วยกฎหมายและผูกพันคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตั้งแต่ปี 2555 และคู่สัญญาได้ถือปฏิบัติตามสัญญามาโดยตลอด

กก.ผอ.ใหญ่ BTSC กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ปี ที่กรุงเทพมหานครและกรุงเทพธนาคมค้างชำระค่าจ้างเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายต่อบริษัทนั้น บริษัทได้พยายามอย่างดีที่สุดที่จะทำให้ประชาชนไม่ได้รับผลกระทบ บริษัทต้องอาศัยเงินทุนและการเงินกู้ยืมมาดำเนินการ แต่กลับกลายเป็นว่าแม้ศาลปกครองกลางได้พิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 1926/2565 ให้กรุงเทพมหานครและกรุงเทพธนาคมชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถให้แก่บริษัท บริษัทก็ยังไม่ได้รับชำระหนี้แต่อย่างใด

...

“หากกรุงเทพธนาคมว่าเห็นสัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย เหตุใดกรุงเทพธนาคมยังปฏิบัติตามสัญญาที่เกี่ยวข้อง การอ้างความเห็นว่ายังไม่ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถเพราะสัญญาจ้างเดินรถไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมาย ทั้งนี้ศาลปกครองสูงสุดได้เคยวางหลักไว้ว่า ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้สัญญาเป็นโมฆะ ก็ไม่อาจรับฟังได้ว่าสัญญาเป็นโมฆะ และคู่สัญญาฝ่ายรัฐต้องชำระหนี้ตามสัญญาให้กับคู่สัญญาฝ่ายเอกชน”

นายสุรพงษ์กล่าวและว่า ดังนั้น บริษัทหวังเป็นอย่างยิ่งที่กรุงเทพมหานคร และกรุงเทพธนาคมจะแก้ไขปัญหาอย่างจริงใจโดยเร็ว ไม่ปล่อยให้เป็นภาระของบริษัทโดยลำพัง ทั้งนี้บริษัทจะยังคงใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดในการให้บริการเดินรถไฟฟ้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายต่อไป.