เป็นเรื่องที่พูดกันมานานแล้ว ทุนจีนบุกยึดเยาวราช สำเพ็ง ร้านค้าและห้องแถวย่านเยาวราช เจริญกรุง สำเพ็ง ถูกนายทุนจีนกว้านซื้อไปเป็นของคนจีนหมดแล้ว ตั้งแต่ช่วงโควิดระบาดที่ผ่านมา โดยมีคนไทยถือหุ้นใหญ่เป็นนอมินีให้แทบทุกแห่ง เมื่อเข้าไปในร้านก็มีแต่พนักงานจีน พูดภาษาจีน ค้าขายกับนักท่องเที่ยวจีน เงินทองไม่หล่นไปไหน แต่ทุนจีนเหล่านี้เสียภาษีให้กับประเทศไทยครบถ้วนหรือเปล่า เป็นเรื่องที่ กรมสรรพากร ต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดเหมือนตรวจสอบการเสียภาษีของคนไทย อย่าให้เหมือน “ทุนจีนสีเทา” ที่ค้าขายยาเสพติดร่ำรวยเป็นกอบเป็นกำในเมืองไทย แต่ไม่ต้องเสียภาษีสักบาท

วันนี้กลายเป็นข่าวฮือฮา เมื่อร้าน “อาม่งหม่าล่าหม้อไฟสาขาเยาวราช” โพสต์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นบนถนนเยาวราช ย่านสำเพ็ง ไชนาทาวน์ของกรุงเทพฯ ทำให้มีการแชร์ต่อและเป็นข่าว

เพจร้านหม้อไฟเยาวราชโพสต์ว่า “ตอนนี้มีคนจีนถือวีซ่านักท่องเที่ยวมาเปิดร้านอาหาร ร้านนวด ร้านขายอุปกรณ์ เต็มไปหมด ลองมาเดินเยาวราช สำเพ็ง ตอนนี้ จากเดิมเคยเป็นร้านคนไทย (เชื้อสายจีน) ตอนนี้กลายเป็นร้านคนจีนแท้ๆ (ส่วนใหญ่วีซ่า L) ถึงจะวีซ่า L ก็เปิดบัญชีธนาคารได้ง่ายๆ ด้วย ธุรกิจร้านอาหารจีน ไม่ต้องมีสูตรอะไรมาก มี suppliers ส่งให้เรียบร้อย มีเงินเฉยๆ ก็เปิดร้านได้ อุปกรณ์ตกแต่งจากจีนก็มีสำเร็จ ไม่ต้องการฝีมือช่างไทยทำ การมาลงทุนเปิดร้านต่างๆในไทยเลยง่ายมากๆ”

เพจร้านหม้อไฟเยาวราช ระบายความอัดอั้นในฐานะพลเมืองไทยว่า หากหาถึงปลายทางเงินได้จากธุรกิจ แน่นอนว่าหลงเหลือ (หมุนเวียน) ในประเทศน้อย การจดบริษัทในไทยของคนจีนก็ง่าย Visa L ก็จดได้ เพียงแค่ต้องมีคนไทยถือหุ้นเยอะกว่าคนจีน SME ไทยจะเจริญได้อย่างไร เพราะความเป็นพลเมือง ต้องเสียภาษีเงินได้ภาษีธุรกิจให้ประเทศ แต่นักลงทุนต่างชาติ แค่หา nominee ในการทำสัญญาเช่าก็จบ ปลายทางเงินได้ส่วนใหญ่อยู่ประเทศของเขา

...

คุณทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ก็ออกมาแถลงว่า ตามกฎหมายการประกอบธุรกิจคนต่างด้าว หากพบมีคนต่างด้าวประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต ก็จะมีความผิดตามกฎหมาย หากพบคนไทยมีการจดทะเบียนพาณิชย์แทนคนต่างด้าว ก็จะมีความผิดในลักษณะนอมินีด้วย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 1 แสน ถึง 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังมีโทษปรับรายวันอีกวันละ 1–5 หมื่นบาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน ก็เป็นการพูดไปตามตัวบทกฎหมาย

แต่ในทางปฏิบัติ ท่านอธิบดีควรจะลงพื้นที่ไปตรวจดูข้อเท็จจริง จะได้รู้ว่าสิ่งที่โพสต์มานั้นเป็นความจริงหรือไม่ แล้วทางกรมจะดำเนินการอย่างไร เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของคนไทยและประเทศชาติ กรณีแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำซากมาก เช่น ผับจินหลิง ของ ตู้ห่าว ยิ่งเป็นธุรกิจของคนไทยตัวเล็ก ย่อมเสียเปรียบต่อทุนจีน ร้านคนไทยจ่ายภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ร้านนายทุนจีนจ่ายภาษีครบหรือไม่ หรือ “จ่ายส่วย” แทนภาษี

ความจริง กลุ่มทุนจีนสีเทา รุกเข้ามาทำสารพัดธุรกิจในเมืองไทยนานแล้ว บางส่วนก็เป็นธุรกิจฟอกเงิน จากธุรกิจที่ผิดกฎหมาย เช่น บ่อนการพนัน ยาเสพติด รวมทั้ง รถทัวร์ บริษัทท่องเที่ยว ร้านอาหาร ผับ บาร์ แต่ทุนจีนสีเทาสามารถซื้ออำนาจรัฐได้ จึงอยู่ได้อย่างสบาย แม้ถูกจับก็ดำเนินคดีอย่างล่าช้า หรือถูกฟ้องก็ยังเอาตัวรอดได้ หรืออย่างกรณี ตู้ห่าว ขนาด นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำหลักฐานสารพัดไป ประเคนถึงมือตำรวจ ส่งไป ส.ส.ในสภา ส่งไปให้นายกฯ แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า นายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลตำรวจ รัฐมนตรีมหาดไทย ที่ดูแลความมั่นคงในประเทศ ก็นิ่งเฉย ผู้ร้ายก็ยิ่งได้ใจ

วันนี้ จีนเปิดประเทศแล้ว ทัวร์จีนเริ่มกลับมาแล้ว ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว รถทัวร์ บริษัททัวร์ ร้านเพชรพลอย ร้านอาหาร ผับบาคาราโอเกะ ก็จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง

ผมก็หวังว่าธุรกิจท่องเที่ยวเหล่านี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ปล่อยให้ตกอยู่ในมือทุนจีนสีเทาจนคนไทยไม่มีที่ยืน ต้องโพสต์ร้องกันอย่างนี้อีก เหลือที่ให้คนไทยตัวเล็กได้ทำมาหากินบ้าง ไปหาเสียงที่ไหนก็เห็น พล.อ.ประยุทธ์ ชู 3 นิ้ว แสดงสัญลักษณ์ ไอเลิฟยู ก็ขอให้ปฏิบัติให้ประชาชนเห็นว่า ท่านรักประชาชน ด้วยความ “จริงใจ” จริงๆ.

“ลม เปลี่ยนทิศ”